คิดย้อนไป นับเป็นโชคดีของผม ที่ได้ฝึกทำงาน พาควายไปเลี้ยง ตักน้ำ เกี่ยวหญ้า อาบน้ำให้ควาย ได้รู้จักควายหลายตัว
ควายบางตัวดื้อ ไม่ฟังความ เวลาเดินไปตามคันแทนา ชอบตวัดลิ้นเกี่ยวดึงต้นข้าวมากิน
บางตัวเป็นควายคะนอง เวลาฝนตกชอบออกกำลังกาย วิ่งไล่ขวิดควายตัวอื่น จนผมนึกโกรธมัน โดยเฉพาะตอนที่ต้องฝ่าลมฝนขณะฟ้าคำรามและส่องประกายแวบวาบปลาบแปลบ เพื่อไปแยกคู่มวยควายออกจากกัน
พ่อจะซื้อควายมาใช้งาน ไถคราดนาข้าวสวนหอมกระเทียม สาม-สี่ปีก็ขาย แล้วซื้อตัวใหม่ เอาเงินส่วนต่างไว้ทำทุน
เท่าที่จำได้ มีควายตัวใหญ่กำยำ แผ่นหลังแบนพอดีขึ้นนั่งควบไม่เจ็บก้นกบ เราผูกพันกันมาก ค่ำนั้น ที่ไทแขกมาซื้อเพื่อนไป ผมไม่ยอมลงเฮือนไปบอกลามัน เคยบอกพ่อให้เอามันไว้ ไม่ต้องขายได้ไหม พ่อไม่ตอบ รุ่งเช้ากลับจากไปเก็บใบหม่อนที่สวนกับย่า เราเห็นเพื่อสี่ขาถูกล่ามไว้ให้เล็มหญ้าที่โพนทางผ่าน ผมยืนจ้องตาเพื่อนอยู่นาน น้ำตาพาลจะไหล เดินจากมาด้วยความอาลัยรัก ไม่รู้ว่าเพื่อนจะถูกขายต่อไปไหนบ้าง...
นั่นคือรสชาติความจริงของชีวิตแบบหนึ่ง มีพบ มีพราก
แต่ก่อนหน้าที่ผมจะได้ทำหน้าที่เลี้ยงควายเอง จำได้ น่าจะสัก 7-8 ขวบ พ่อพาไปเลี้ยงควายที่ทุ่งนาป่าละเมาะทางตะวันออกหมู่บ้าน ปัจจุบันเป็นศูนย์ราชการของอำเภอไปแล้ว
เราปล่อยควายให้มันเลาะหาเล็มหญ้า พ่อให้ผมนั่งเฝ้า สักพักได้ยินเสียงพ่อเรียก ไปถึง เห็นพ่อนั่งหงายฝาเท้าข้างหนึ่ง เลือดอาบแดงทั่ว พ่อบอกให้ไปเด็ดยอดเหล่าฮ่างมาให้
ผมเหงยหน้าขึ้น ดงเหล่าฮ่างเป็นฉากหลังของเรา เบื้องหน้าเป็นทุ่งหญ้าป่าละเมาะ แดดยามบ่ายสาดลงทรงพุ่มต้นหว้า ทอดเงามาตรงนี้ ตรงที่พ่อนั่งพักดูแผลจากเศษขวดแก้ว
ผมได้ยอดใบเหล่าฮ่างมากำหนึ่ง บิดขยี้ลงฝามือตามคำบอกของพ่อ พอมีน้ำจากยอดใบออกมาหน่อย พ่อก็หยิบไปกดปิดบาดแผล สักครู่เลือดก็หยุดไหล
ผมรู้จักต้นเหล่าฮ่างและสรรพคุณของมัน ก็วันนั้นแหละ วันที่ยังเป็นผู้ช่วยพ่อ เลี้ยงควายตามป่าละเมาะ...