แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องสั้นแต้มวันคืน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องสั้นแต้มวันคืน แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

นั่นเฮือนไม้ติดทางที่ยังบ่มีรั้ว

นั่นเฮือนไม้ติดทางที่ยังบ่มีรั้ว

คีต์ คิมหันต์


ข้อยนั่งอยู่ตรงนี้  ที่นอกชานเฮือนไม้ใต้ถุนโล่ง  มองลงไปทางถนนที่เชื่อมบ้านกลางกับบ้านใหญ่ทางเหนือ และบ้านน้อยทางใต้  
สีดำหม่นของมัน  เปลี่ยนมาจากสีสนิมดินเหนียวขี้หินแห่ที่เปลี่ยนมาจากทางดินทรายสีหม่นปนขี้ควยขี้งัวอีกเทื่อ  
ทางใต้ไปบ้านน้อยนั้น  ตีนบ้านก่อนทะลุออกท่ง  เคยมีซุ้มอุโมงค์กอไผ่ใหญ่ที่นกจอกเฮ็ดฮังห้อยโต่งเต่งเป็นสาย  ว่าแม่นในโลกหนังสือการ์ตูนเอาโลด
ทางเหนือไปบ้านใหญ่  มีถนนหลวงขวงคั่นอยู่  มีวัดเป็นจุดหมายของย่า  เพิ่นเก็บดอกสะเลเตถือปิ่นโตไปจั่งหันวันซ้อนบ่ขาด
หากทางถนนคือเครื่องบันทึกเรื่องราวสำคัญของหมู่บ้านเฮา  อาจบอกกล่าวเล่าขานเรื่องราวความเป้นไปได้เป็นทำนองลำล่อง  ให้ลูกหลานพ่อใหญ่หมอลำคำตา หมอลำคนสุดท้ายของบ้านเฮามาลำกะได้
ทางถนนดินทราย  คนไปช้ามาค่อง  หัวใจขาวใสส่ำกลีบดอกสะเลเตกอข้างแอ่งน้ำเซอะน้ำอาบ  ขนาบด้วยกอกล้วยตะนีออง  ตรงหน้าบันได  ทางขึ้นเฮือนทางเหนือนั่น
ทางดินหินแห่  คนไปไว  มาว่อง  หัวใจคือสีดอกหมากเฟืองชมพูแดงต้นฮิมฮั้วลวดหนามคั่น
ป่ามันของซุมพ่อใหญ่ค้ำขี้ถี่  ทางตาเว็นออกพุ่น 
ทางดำก่ำหินเคลือบยางบักตอย  คนไปฟ้าว  มาฝั่ง เถิ่งฝั่งแหน่บ่เถิงฝั่งกะมี  หัวใจหลายหลากสีปานแพตาหม่องอีแม่  ที่ตัดเย็บด้วยมือให้พ่อให้ลูกถือใช้  หรือตัดเอาไว้เย็บขอบด้วยผ้าด้ายดิบสีแดงยัดนุ่น  เป็นเสื่อนอน  ซึ่งต่ำจากกี่ใต้ตะล่างเฮือน
ต้นบักงิ้วตรงมุมหน้าเฮือนติดทางที่ยังบ่มีรั้ว  กำลังแต่งยอดใบรับฝนใหม่  แปลกแท้  หมากนุ่นหน่วยนั่นคือบ่หล่น  ใผเอาเชือกมัดไว้หรือบ่  เปลือกมันแตกอ้า  ปุยนุ่นกับเมล็ดลอยไปไสเหมิด   ปล่อยให้หน่วยเปล่าว่าง  มันคือบ่หลุดข่วนจักเทื่อ  ท่าหยัง  รออะไรกันหนอ  

“ทำไม  ไม่เห็นคุณไปเสนองานห้องสมุดเองละ?”
“ผมไม่มีชื่อในคำสั่งงานห้องสมุดแล้วนี่ครับ  ท่านผอ-ออ”
“อ้าว  เป็นไปได้ไง  ก็คุณเป็นหัวหน้างานมิใช่รึ”
“ท่าน ผอ-ออ  ไม่รู้  แล้วผมจะรู้อย่างไรครับ”
เหมือนฝัน  บทสนทนายังก้องในใจ  มื้อนั่น ที่หน้าห้องอบรมครูวันก่อนเปิดเรียนใหม่ปีที่ 30  ของข้อย กับงานครูบรรณารักษ์ห้องสมุดโรงเรียนมัธยม  ผ่านร้อนผ่านหนาว  ผ่านผู้บริหารมาเป็นสิบ  ผ่านครูผู้ร่วมงานมาเกือบพัน  ผ่านโรงเรียนมาแล้วห้าโรง  
ช่างตลกแท้  ครูบรรณารักษ์โดยตำแหน่ง  ถูกทำให้เชื่องด้วยเงินค่าวิทยฐานะ  ต้องไปขอทานสอนวิชาอื่น  ให้ได้งาน  จึงได้รับการประเมิน  วางงานวิชาชีพบรรณารักษ์ไว้  กระนั้นก็ยังต่อสู้ถูไถสร้างสรรค์ห้องสมุดให้เป็นที่หมายสำคัญสำหรับการอ่านแก่นักเรียน  จนลูกน้องต้องแท้งลูกไปคนหนึ่ง 
ห้องสมุดเป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับสถานศึกษา  ถูกไล่ที่จากใต้อาคารเรียนสี่ชั้น  ไปอยู่อาคารชั่วคราว  พอได้ตึกใหม่จึงจำต้องขนหนังสือขึ้นชั้นสอง  นั่นแหละลูกน้องถึงได้แท้งลูก  เป็นเหตุให้เธอ
ขอย้ายกลับภูมิลำเนาได้อย่างหวุดหวิด  โดยไม่ต้องจ่ายค่ากิโลเมตรให้ซุมคณะผู้แทนครูของเขตพื้นที่  
ปั้นบรรณารักษ์นักห้องสมุดน้อยมาหลายรุ่น  พาไปออกค่าย “พาน้องอ่าน ปันหนังสือให้น้อง”ตามโรงเรียนติดฝั่งโขงทุกปี  ความดีมีอยู่ในแฟ้มรายงานเต็มตู้  แต่ความชอบบ่เกิด  เงินงบประมาณซื้อหนังสือเข้าห้องสมุดทุกบาท  จ่ายเต็ม  เปอร์เซ็นต์ส่วนที่ควรได้ก็ให้สำนักพิมพ์เขาจ่ายเป็นหนังสือเพิ่มจนครบจำนวน  มีบัญน้ำบัญชีใบเสร็จส่งการเงิน-พัสดุโรงเรียนอย่างถูกต้องของเงินงบสามแสน  นอกในเบี้ยใบ้ไม่เคยรู้จัก  ตรงนี้กระมัง ถึงทำให้ชื่อถูกตัดทิ้งจากสาระบบงานห้องสมุดโรงเรียน งานวิชาชีพที่
ร่ำเรียนจบมาโดยตรงถูกปฏิเสธการมีอยู่  โดยบ่รู้เนื้อรู้ตัว...

ป่านนี้เพิ่นอยู่ไสกันนะ  ข้อยคึดในใจ  แม่นละ  ข้อยนั่งพิงเสาอยู่นอกชานมาตั้งแต่เช้า  ตอนนี่ก็น่าจะบ่ายสี่โมงแล้วกระมัง  การกลับมาบ้านเทื่อนี้  เหมือนทหารกลับจากสงคราม  ม่วนใจเป็นพิเศษ  
ที่เจ้าของบ่ต้องกลับไปต่อสู้กับสิ่งใด๋ๆ อีก  
ฝนตกรินย้อย  เป็นฝอยๆ  เหมือนม่านบางๆ คั่นกลางระหว่างเฮือนข้อยกับอาคารพาณิชย์ฝั่งตรงข้ามที่ดูเหงาๆ  เบิ่งเอาถ้อนพี่น้อง  อาคารทั้งหลัง ๙  คูหา  ค่อยจางหายไป  ภาพเฮือนแม่ใหญ่ก่ำค่อยปรากฏแทนที่  ข้างเฮือนมีทางลงไปบึงแหลม  ข้อยกับย่าเคยไปสักสุ่มจับปลา  พ่อกับแม่กะเคย
ใช้ข้อยไปเก็บผักขี้เหล็กมาแกง
พ่อแม่ตายป๋า  ตั้งแต่ข้อยบรรจุได้บ่ถึงเดือน  พ่อเพิ่นหัดขับรถยนต์คันใหม่มือห้า  ขึ้นสี่แยกทางถนนหลวงสี่เลนห่างจากแยกไปวัดไปทางตะเว็นออกอีกแยกหนึ่ง  ทางขึ้นค้อยสิข้ามแยกไปนา  ขนาบด้วยรั้วโรงเรียนประถมกับโรงพยาบาล  ที่ที่สมควรมีไฟแดงเสียที  
พอรถพ่อย้วยขึ้นไปปานนางงามหอมแดงนวยนาดอาดหลาดเทิงเวที  ฮอดกลางแยก  จักรถขนเงินธนาคารมาแต่ทีปใด๋  ชนเข้าเต็มลำและลากถูกไปไกลเกือบสุดเขตรั้วด้านหน้าโรงบาล  กะต่ามอนเปล่าอีแม่อยู่กระบะกะประหลาดยังตั้งอยู่คือกับมีมือที่มองบ่เห็นมาจับจ่องไว้  
พ่อกับแม่อยู่ส่วนเก๋งรถถูกอัดแหญ่ญ่อเข้าหากัน  ตายคาที่
ข่าวเศร้านี่  ถูกส่งไปฮอดข้อยยามบ่าย  ขณะนำลูกน้องไปทำกิจกรรมอยู่ที่โรงเรียนริมฝั่งแม่น้ำสองสีซึ่งเอื้อยคาคีงข้อยเพิ่นทำงานอยู่  ที่แรกเพิ่นบรรจุอยู่ทางภาคกลาง  พอพบรัก  แต่งงานแล้ว ท่านพี่อ้ายก็สอบได้เป็น ผอ-ออ กศน. เลยชวนกันย้ายมาอยู่กับแคมโขงบ่อนบ้านเกิด  เพิ่นก๋ากันว่าสิอยู่ยั้งเป็นครูกับบ้านจนเกษียณ  
ตอนนั่น  ยุวบรรณารักษ์จากโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดกำลังอ่านหนังสือเสียวสวาดให้น้องๆฟัง  เถิ่งตอนพ่อฮู้โตว่าใกล้ตาย  เลยสิเวนมอบสมบัติให้พี่น้องศรีเฉลียวกับเสียวสวาด นั่นละ  
“น้องหล่า  ศรีเฉลียวสิเลือกเอา นามูนกับเฮือน  หรือ ป่าโคกแคมห้วยกับสวนกะยอมบานดั้ว”
“นามูนกับเฮือน ๆๆๆๆ” น้องๆ ลูกแม่น้ำโขงหน้ามอมแมมแก้มติดขี้ดังตังเหนียว  ต่างเดาตามโครงเรื่อง ที่เอื้อยเกริ่นนำไว้
“ถืกแล้ว  ส่วนเสียวสวาดพระเอกเฮา  ก็สมใจหวัง  ได้ป่ากับสวน  พ่อก็เลยทำนายบอกลูกให้ฮ่ำฮอน  แก้ไขพัฒนาโต  ว่า  ศรีเฉลียว  เจ้ามักง่าย อยากได้สิ่งที่มีเป็นฮูปเป็นการแล้ว  ให้หมั่นรักษาเด้อ
ส่วนเจ้า  เสียวสวาดผู้น้อย  เจ้าผู้สิห่างมีไปหน้า เลือกสิ่งที่ต้องคิดแปงสร้างเอง  กะให้มั่นใจ  อย่าได้ท้อแท้กับอุปสรรค  ฮักแก้ปัญหาด้วยสติปัญญาที่เจ้ามี  เด้อคำแพงพ่อเอย”
ครูใหญ่เข้ามาบอกข่าวข้อย ที่กะลังนั่งฟังลูกศิษย์เล่านิทานด้วยความชื่นชม  ลมหายใจข้อยตอนนั่นยังราบเรียบดีอยู่  ข่าวเศร้าซูนใจ  ใจยังนิ่งเศร้าลึก  คลับคล้ายตอนเสียวสวาดสิลาบ้านเมืองขึ้นเรือสำเภาไปค้า  อาลัยอาวรณ์แต่ก็ทำใจได้
เรื่องจริงคือนิทาน  เหมือนตอนนี้  หน้าเฮือนไม้  ที่เอื้อยเวนมอบให้ข้อย  พร้อมที่นาโคกหม่องป่าขะยอมหนองหว้าอีกสิบกั่วไร่  

ผละสายตาจากทางถนน  แหนมอ้อมที่เฮือนอีกสามด้าน  ช่างอึดอัดต่างก่อนเก่า  กำแพงปูนสูงบังสายตา  ปิดกั้นควมเป็นพี่น้องไปสิ้น  เหมือนคนไม่เคยเป็นญาติกันมาก่อน  มันคือกันกับห้องสมุดที่ผู้บริหารบ่เคยขึ้นไปยามถามข่าว  มันถูกเทคโนโลยีคอมแคมบังเหมิด  
        “สมัยนี้  ทันสมัยแล้ว  เรียนได้ทุกที่  อ่านได้ตลอดเวลา  ไม่จำเป็นต้องอ่านแต่หนังสือเล่มแล้ว”  ผอ-ออแจงวิสัยทัศน์ในที่ประชุมประจำเดือน  เหมือนถูกปลิดชีพด้วยคมมีดปลายแหลม  ที่จิ้มแทงหัวใจครูบรรณารักษ์    
        ในรั้วกำแพงทางตาเว็นตกนั่นบ้านพ่อลุงสา  เพิ่นตายดนเติบ  เหลืออยู่นี่แม่นหลานชายกับหลานใภ้  คนสมัยใหม่  ได้การงานทางกรุงเทพฯ  นานๆ จะกลับมาบ้าน  แม่ป้าพ่อลุงผู้พ่อแม่ของหมู่เขา  ออกไปเฮ็ดเฮือนอยู่ท่งนาทางห้วยครกพู้น
        ทางใต้ถัดกันมา   ลุงกับป้ายังอยู่ แต่เพิ่นเคียดขมให้อีพ่อที่ได้มูนหลายกั่วหมู่ (กะย้อนว่าอีพ่อเป็นผู้เลี้ยงแม่นอ) พอได้ใภ้ได้เขยก็เลยเฮ็ดกำแพงขึ้น  เพิ่นเว้าในคราวหลังเฮ็ดบุญหาย่าแล้วว่า  ย้านไก่เป็ดที่เลี้ยงไว้ออกไปกวนพี่กวนน้อง  ว่าสั้นว่า  
        ส่วนกำแพงทางตาเว็นออก  แม่นตำรวจกับเมียจากทางอื่นที่มาซื้อที่จากป้าผู้น้อย  ซึ่งเพิ่นต้องลงไปเลี้ยงหลานอยู่ระยองเพราะลูกชายเพิ่นผู้มีงานทำในโรงกลั่นน้ำมัน  ซื้อที่เฮ็ดเฮือนไว้หลังงาม  อยากให้แม่ไปอยู่นำ  เมียบักหล้ากะเปิดร้านขายของชำให้เบิ่งแยง  ย้านแม่ย่าเหงา  ส่วนลูกใภ้กะไปเฮ็ดงานในโรงงานกับผัวนั่นละ 

เย็นสายลมฝนเดือนมิถุนา  หอมไอดินฉ่ำฝนใหม่  เดินขึ้นจากชาน  มายืนอยู่ที่ห้องเปิง  ห้องนอนสองห้องปิดประตูล็อคกุญแจหลายปีคักแน่  ฝาเฮือนด้านหน้า  สูงเหนือประตูห้อง  ฮูปวาดเรื่องราวการของพระพุทธเจ้า  เหลือแขวนห้อยอยู่ ๖ จาก ๑๓ กรอบ  เขาเพ่งฮูปที่พระพุทธองค์กำลังรับบิณฑบาต จากพระประยูรญาติ  มีกระแตตัวน้อยสามโต คอยจอบซอมอยู่บนพื้นดินที่พืชพรรณขึ้นเขียวก่อง ออกดอกหลากสีสดใส  ชั่วอึดใจ  ข้อยหันหลังก้าวลงชานเฮือน ลงบันไดมา
           แนมลงไปใต้ตะล่าง  รถยนต์เจ็ดที่นั่งยังจอดนิ่งสงบอยู่  ก่อนถึงบันไดขั้นสุดท้าย  เหมือนโลกเหวี่ยงตัวกลับ  ในหัวเขาดังวืบหวือ  ตาพร่ามัว  ข้อยสะบัดหัวสองสามเทื่อ  ยกมือขะยี้ตา  ลมฝนหายตัวไปไหนแล้วละ  ต้นหายโศกใบหนาดอกคล้ายดอกเข็มใกล้บันได คึดฮอดย่านอ  เพิ่นเอามาแต่เมืองสะหวัน  คราวไปไหว้พระธาตุอิงฮัง  ก่อนลาวสิจากไปแค่สามปี  นกตัวหนึ่งเกาะอยู่บนช่อดอกแดงอมเหลืองคล้ายพุ่มดอกเข้ม  นั่นมันนกจาบคาตัวเขียวแน่เลย  ที่เขาเคยขี่ควายซมซื่นตอนดำนาแล้วสมัยเป็นเด็กน้อย  แม่นแท้  โอ้  มันมาเป็นฝูงนี่  พวกมันบินพรึบตรงมาแล้ว  มันส่อยกันยกโตข้อยเข้าไปใต้ตะล่างเฮือน  อ้าว รถข้อยหายไปแล้ว  แท้ๆ เลย  มันกลายเป็นควาย  นกวางข้อยลงบนหลังบักหลังแป้นปีกแผ่นใหญ่  ว่าแล้วในมือขวาข้อยก็มีเชือกควายที่พับทบกันไว้เรียบร้อย  มือซ้ายจับฟัดเชือกเทื่อหนึ่ง  มันพาข้อยออกจากคอก  มุ่งออกไปทางตะเว็นออก  กำแพงปูนค่อยๆ จางหาย  กลายเป็นทาง โอ้ทางดินทรายตั้งแต่มื้อเก่าก่อนนี่หน่า ไปเลย  ไปกัน  บักหลังแป้นปีก  นั่นตาเว็นพวมขึ้นพอพุมผู่  ได้ยินบ่  เพลง...หมู่หญ้าตีนกับแก้ถืกฝนแลเขียวตระการ...  เช้าแล้ว ไปกันนอ ไปกัน!










วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

จิ๋ว-แมวน้อยอันเป็นที่รัก☆☆ #มาให้รักให้รู้ #อยู่ให้ผูกพันห่วงใย #จากลาให้อาลัยหา

♡♡จิ๋ว-แมวน้อยอันเป็นที่รัก☆☆
#มาให้รักให้รู้ #อยู่ให้ผูกพันห่วงใย 
#จากลาให้อาลัยหา


ไม่เคยคิดว่า จะไว จะจากกันเร็วถึงเพียงนี้
จิ๋ว-สายัณห์ แมวน้อยหางกิ้น
นอนตายเบิ่งตาที่หน้าบ้าน
เห็น รู้ ก็ตอนเช้า ไปเปิดประตูเหล็กพับหน้าบ้าน
ขณะมองลอดช่องประตูไปเห็นนอนอยู่
ในใจก็แว้บคิด ยังไม่ปักใจว่าจิ๋วจะตายจาก
เลยรีบเปิดประตู
...กะแล้บ โป๊ก แป๊ก.... เสียงประตูเหล็กบานพับแต่ละบานกระทบกัน
จิ๋วยังนอนนิ่งในท่าเดิม 
นอนเอียงตัวด้านซ้ายแนบพื้น ขาเหยียดออกพองาม
ในใจเริ่มคิดล่ะ จิ๋วคงจากไปจริง ๆ
ประตูเหล็กพับสุดท้ายแนบกับพับอื่น ผลักไปชิดผนังบ้าน
รีบก้าวไปนั่งก้มดูจิ๋ว
อนิจจา! ตัวแข็งแล้ว  ลิ้นโผล่จากฟันนิดหนึ่ง
อุ้มขึ้นมา เห็นหยดน้ำลายตรงพื้นที่ตรงกับปาก
อุ้มเข้าบ้าน วางน้องไว้ข้างทางลาดรถเข็น
รีบเข้าไปปลุกลูกชายลูกสาว แจ้วข่าว...

ปกติจิ๋วจะมานอนเป็นเพื่อนแม่ที่ออกมาปูที่นอนเพื่อยู่เป็นเพื่อนยายที่ตื่นดึก
จิ๋วจะมาหยอก มาล้มตัวนอนใกล้ ๆ เหยียดตัวตามสบายอยู่ข้าง ๆ แม่ 
ข้างที่นอนตรงพื้นบ้านบริเณทางเดินเข้าครัว ตรงนั้น

บ่อยครั้งที่จิ๋วป้วนเปี้ยนมานอนตักเวลาเรานั่งกับพื้น
หรือแม้แต่ตอนเรานั่งเก้าอี้
ตอนเรานั่งโต๊ะทำงาน จิ๋วก็จะปีนมาขอทำช่วย
ถ้าเราบอก "ไม่ต้อง ๆ" และสะกิดเขาเบา ๆ เขาก็จะเดินไปที่มุมโต๊ะบ้าง
ที่ปลายโต๊ะบ้างแล้วล้มตัวลงนอน คล้ายจะบอก 
"ไม่ให้ช่วย ก็ขอนอนให้กำลังใจล่ะกันนะนุด"

จิ๋วเป็นแมวหลงมา มาจากไหนไม่รู้
ตัวเล็ก ๆ ป้อม ๆ ขนออกสีอุยทุย...
ลูกสาวได้ยินเสียงแมวร้องที่โรงเก็บของหน้าห้องน้ำของบ้านหลังน้อย
ที่มีหลังคาเชื่อมต่อบ้านหลังใหญ่
เธอไปอุ้มมา "หนูเลี้ยงน้องได้ไหม"
"จะดีหรือลูก ตอนนี้เรามีสี่ตัวแล้วนะ" พ่อชั่งใจ สบตาลูกสาว
"อ้าว เลี้ยงก็เลี้ยง ตัวนี้ตัวเดียวนะ"

จากนั้นบ้านเราก็มีสมาชิกแมวเพิ่มเป็นตัวที่ห้า
มีจันทร์แรม แม่ของเด็ก ๆ สามตัว (ที่จริงมีสี่ตัว แต่ตัวหนึ่งลักหนีไปแล้ว)
ลูกสามตัวของจันทร์แรม มีหนึ่ง ตัวผู้สีขาวหม่นวิเชียรมาศ ชื่อ อรุโณทัย หรือ ไทไท  สอง ตัวผู้สีดำด่างขาวตรงเท้าและท้องชื่อ อนธการ หรือ กานกาน และสาม ตัวเมียดำมิดชื่อ ราตรี หรือ ตีตี้
ทุกชื่อ ลูกสาว เธอคิดและตั้งให้ และให้น้องชายเรียกตาม
ตายาย พ่อแม่ ก็เรียกชื่อแมว ๆ ทุกตัวตามชื่อเล่นนั้น ๆ

ช่วงราวห้าปีมานี้ ครอบครัวเราจึงต้องมีภารกิจชีวิต
ดูแลแมว ซื้ออาหารเปียก อาหารเม็ด ปลาทู ปลาอื่น ๆ มาให้แมว ๆ กิน  
ซื้อทรายแมวมาเติม-เปลี่ยนในกระบะ
บางช่วงเวลา แมวน้อยก็อึไม่เป็นที่ ต้องเก็บกวาดเช็ดถู
พาไปฉีดวัคซีนตามกำหนด ป่วยก็พาไปรักษาที่คลินิก-โรงพยาบาลสัตว์ 

เหมือนจะยุ่งยาก...
แต่แมวของเราก็ร้อยเชื่อมหัวใจของพวกเรา
ให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นได้เป็นที่อัศจรรย์

ความสูญเสีย นำมาซึ่งความเศร้าเสียใจ
วันนี้ก็เช่นกัน ขับรถไปสวนติดนาที่ห่างบ้านไปราว 15 กม.
ลูกสาวอุ้มกล่องเอกสารใส่ร่างไร้วิญญาณของจิ๋ว-แมวอันเป็นที่รัก
ร่ำไห้น้ำตาไหลไปตลอดเส้นทาง

ผมขุดหลุมขนาดกว้างกว่าตัวจิ๋วหน่อย ให้นอนได้สบาย ๆ 
หลุมอยู่ใต้ร่มหม่อน ข้าง ๆ ที่ ๆ เคยฝั่งแมวอันเป็นที่รักสองตัว
ตัวแรกชื่อ "ที่รัก" เป็นยายของหลาน ๆ รุ่นเดี๋ยวนี้
ตัวสองชื่อ "โพล้เพล้" เป็นลูกสาวของที่รัก เป็นพี่สาวของจันทร์แรม-ป้าของหลาน ๆ รุ่นนี้

ขุดหลุมเสร็จ บอกลูกสาวอุ้มลังน้องจิ๋วลงจากรถ
พ่อเดินหาเก็บดอกหญ้าดอกตำลึงทองมาส่งให้ลูกสาวถือไว้
พ่ออุ้มจิ๋วออกมาจากกล่องกระดาษ วางร่างจิ๋วลงก้นหลุม
"เอาดอกไม้ให้น้อง บอกลาน้องนะลูก"
ก้นหลุมลึก ลูกสาววางดอกไม้ไม่ถึง 
พ่อจึงช่วยจับต่อและนำไปวางบนร่างไร้วิญญาณของแมวน้อย
"พ่อบ่มีแนวให้ดอกเดอ มีดอกไม้หมู่นี่ กับปลอกคอนำเจ้านี่ล่ะ"
เสียงสะอื้นยังมี ไร้คำพูดใด ๆ จากพี่สาวมนุษย์
พ่อใช้มือลูบปิดเปลือกตาให้ลูกชายตัวน้อย และลูบไล้ตัวเป็นครั้งสุดท้าย

"ไปดีสมสุขเดอจิ๋วเดอ พักผ่อนเดอลูก ผ้อกันส่ำนี่ล่ะชาตินี่เฮา
จะแหม่นมาอยู่นำหน่อยเดียว มาให้ฮัก จากให้คึดฮอดแท้เดนอ อ้าว หลับให้สบายเดอ พักผ่อน ๆ สา"

พ่อนำลูกสาว ค่อย ๆ หว่านดินลงกลบร่างจิ๋ว-แมวน้อยที่น่ารักทีละนิด ๆ 
แล้วจึงจัดการโกยดินกลบหลุม...

ยามเช้าหญ้าหมาดฝนฉ่ำ รอบ ๆ รายล้อมหลุ่มฝังศพจิ๋ว  
ไม่นาน พอตะวันขึ้นพ้นทิวไม้เหนือหลังคาบ้านของชาวบ้านสว่าง-หนองเสือ แสงคงจะสาดส่องต้องเม็ดน้ำใส ๆ ที่ยังค้างบนใบหญ้า 
ให้เปล่งประกายส่งทางดวงวิญญาณน้อย ๆ ของจิ๋ว-สายัณห์ 
ให้เดินทางไกลไปสู่เส้นทางของชีวิตใหม่ 
ไปเริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง ที่ไหนสักแห่ง ๆ.








วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ช่างแอร์หนุ่ม ไม่นึกว่า เจ้าของร้านมาเอง

บุนทอน ดอนโขง เรียบเรียงและเล่าสารพลดลใจ (พฤหัสบดี ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕)
คีต์ คิมหันต์ ปรับปรุงเป็นเรื่องสั้นในชุด ชายหน้าเศร้า (๔ ธันวาคม ๒๕๖๖)

หนุ่มใหญ่ผู้ผัว มีโอกาสได้คุยกับคนติดแอร์ ใช่แล้ว ชายวัยสักสามสิบปีคนนั้น ไม่ใช่ช่างธรรมดาดอก เขาเป็นช่างและเป็นเจ้าของร้านขายแอร์เองด้วย

เรือนห้องเช่าชั้นเดียว มีจั่วหน้าห้องทั้งสิบเอ็ดห้อง ใกล้สถานีขนส่งผู้โดยสารประจำเมือง ใช้ชื่อ “บ้านพักทรัพย์ศรีทอง” ปลูกมานานกว่าสิบเจ็ดปี ตอนนี้ว่างหลายห้องมาหลายเดือนแล้ว คนติดต่อขอเช่าบอก ติดแอร์ให้หน่อย เสียดาย ห้องที่ติดแอร์ไว้สามห้องเต็มแล้ว เจ้าของบอกแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะการติดแอร์ต้องเอาเงินมาลงเป็นก้อนใหญ่ หรือไม่ก็ต้องผ่อนหลายเดือน กว่าจะหมดหนี้ ค่าห้องเช่าก็พอได้หมุนเป็นค่าน้ำ  ค่าไฟ ค่าซ่อมบำรุงต่าง ๆ เหลือบ้างเล็กน้อย พอได้ใช้จ่ายในครอบครัว การจะติดแอร์ราคาหมื่นห้าถึงสองหมื่นสักเครื่อง จึงเป็นเรื่องต้องคิดทบทวนมากพอดู

แต่เมื่อพิจารณาว่า อนาคตถ้าต้องการคนเช่าให้เต็มทุกห้อง ก็จำเป็นต้องติดแอร์แน่ ๆ อากาศทุกวันนี้ร้อนขึ้น ๆ อุณหภูมิโลกไม่ลดลงเลย คนเช่าเขาก็ต้องการอยู่เย็น ๆ คลายร้อน ถึงจะเป็นห้องเช่าสำหรับคนทำงานเพื่อพักผ่อนแค่ตอนกลางคืนและวันหยุด ก็ต้องสนองความต้องการแบบ “อยู่สบายคลายร้อน” ที่เป็นแรงบีบอีกอย่างก็คือ หอพักห้องพักหลังใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในละแวกเดียวกันนั้น ต่างติดแอร์กันหมดทุกห้องแล้ว พิจารณาแล้ว คงต้องทยอยติดแอร์ไปจนครบทุกห้องโน่นแหละ จึงจะพอหวังได้ว่าจะมีคนมาเช่าจนเต็ม

ว่าแล้ว เมียผัวปรึกษากัน ตกลงใจแล้ว ก็เริ่มหาข้อมูลทางเน็ต แชทคุยกับร้านที่ดูดีมีความน่าเชื่อถือ ได้คิวนัดมาติดตั้งวันหยุดต้นเดือนพฤษภา 

วันนั้นฝนตก ช่วงบ่ายได้รับโทรศัพท์จากทางร้านแอร์บอก มาติดให้ไม่ทันในวันนี้ ขอเลื่อนไปวันหลังครับ เพราะติดฝนทำงานไม่ได้ตามกำหนด พิกัดที่หน้างานในอำเภอบุณฑริก ห่างออกไปกว่าเก้าสิบกิโลเมตร อ้าว... ไม่เป็นไร ผู้ผัวคิดในใจ วันหลังก็วันหลัง

รุ่งเช้าวันต่อมา เมียดูโทรศัพท์ ร้านแอร์โทรมาแจ้งว่า แอร์ยี่ห้อที่ตกลงกันนั้นติดให้คนอื่นไปแล้ว และไม่มีรุ่นนี้อีก เลยเสนอยี่ห้อใหม่มาพร้อมราคาที่น่าฟัง เมียเลยยังไม่ตกลง “อะไรกัน ตกลงกันแล้วเอาไปติดให้คนอื่น” แต่ในใจนึกสงสารร้านเขา เขาอยากขายแต่ไม่มีแอร์ให้เรา ที่ใจอ่อน อาจเพราะคำสื่อสารในแชทน่าฟัง น่าเห็นใจ

ตกบ่าย สองผัวเมีย เลยลองตระเวนสอบถามราคาตามร้านขายแอร์ดู  

ร้านแรกเป็นห้างใหญ่ ขายวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านสารพัด มีแอร์ขายด้วย ปรากฏว่า รุ่น BTU สำหรับห้องขนาดยี่สิบตารางเมตรที่ร้อนสักหน่อย ต้องเป็น 15,000 BTU นั้น ไม่มี มี หมื่นแปดพัน ซึ่งขนาด BTU ใหญ่ไป ราคาพร้อมค่าติดก็พอฟัง แต่ก็ยังไม่ตรงใจนัก 

แวะร้านที่สอง เป็นร้านขาย ติดตั้ง และเซอร์วิสแอร์โดยเฉพาะ สอบถามแล้วยี่ห้อที่ตั้งใจมาดูก็ไม่มีเครื่องพร้อมขายเช่นกัน ทางร้านแนะนำยี่ห้อรองลงมา ราคาพร้อมติดตั้งก็ไม่แพงมาก ใกล้เคียงกับห้างเมื่อกี๊ ดูเหมือนจะน่าตัดสินใจเอา เพราะพิจารณาฐานะและภาพลักษณ์โดยรวมของทางร้านแล้ว เขาน่าจะดูแลหลังการขายดี 

จากนั้นก็ไปอีกร้าน เป็นร้านสาขาของร้านดังทางออนไลน์ที่มีสาขาทั่วประเทศ ร้านนี้เน้นขายเงินผ่อน แจ้งยี่ห้อ รุ่นสเป็กแอร์ให้ผู้จัดการหนุ่มที่ดูแลสาขานี้และทุกสาขาในเมืองอุบลแล้ว เขาก็กดเครื่องคิดเลข ทีแรกบอกราคาสองหมื่นถ้วน สองผัวเมียมองหน้ากัน 

“ใช่ราคานี้แน่นะ” ถามย้ำกับคนขาย 

“ครับ ราคานี้พร้อมติดตั้ง ผ่อนสิบสองเดือน จ่ายงวดแรกวันติดตั้ง ตัดยอดเหลือสิบเอ็ดเดือนเลยครับ สั่งวันนี้ติดตั้งพรุ่งนี้เลย” เขามั่นใจและอธิบายขั้นตอนการซื้อขาย 

“ดูอีกทีไหม มันถูกมากนะ ถ้ารุ่นนี้ บีทียูหมื่นห้าพัน” 

นักขายหนุ่มเม้มปาก เปิดดูเอกสารที่วางบนกล่องกระดาษห่อตู้เย็นตรงหน้า กดเครื่องคิดเลขอีกครั้ง 

“ขอโทษครับ ผมคิดผิดจริง ๆ เป็นสองหมื่นหนึ่งพันบาทถ้วนครับ พร้อมติดตั้ง” 

สองผัวเมียคิด อย่างนี้ค่อยใกล้กับร้านอื่นเขาหน่อย แต่ดีกว่าคือ ราคถูกกว่าตั้งหนึ่งพันบาท ว่าแล้วคนขายก็ขอให้คนซื้อกดเป็นเพื่อทางไลน์ จะได้ส่งข้อมูลการซื้อขายเพื่อประกอบการตัดสินใจอีกที

             ออกจากร้านที่สามมา สองผัวเมียปรึกษากันว่า จะไปดูอีกสักร้าน ค่อยตัดสินใจ 

            “สงสารร้านน้อง จะไม่ได้ขายนะ” เมียหมายถึงร้านที่คุยกันในแชท เขาส่งข้อมูลมาให้ว่ามียี่ห้อหนึ่ง หมื่นห้าพันบีทียูแบบธรรมดาที่กินไฟ เพราะปิด-เปิดระบบทำความเย็นเป็นระยะ ๆ ทำให้ความเย็นไม่คงที่ แต่เย็นฉ่ำทันใจดี ต่างจากแบบอินเวสเตอร์ ที่เย็นช้าแต่สม่ำเสมอ เพราะมีระบบควบคุมความเย็นอีกที ที่สำคัญประหยัดไฟกว่าแบบธรรมดา ที่คิดจากการเปิดแอร์วันละแปดชั่วโมง ประหยัดกว่าตั้งสองถึงสี่พันบาทต่อปี ช่างที่มาล้างแอร์เคยแนะนำว่า ห้องเช่าควรติดแบบธรรมดา การดูแลรักษาไม่จุกจิก แต่คนขายที่ห้างร้านที่ไปสอบถามกลับบอกว่า เครื่องอินเวสเตอร์รุ่นใหม่ไม่จุกจิกอย่างนั้นหรอก แถมคนเช่าห้องเขาก็ชอบ คือมันประหยัดไฟกว่ากัน ยิ่งเป็นเครื่องบีทียูที่เหมาะสมกับห้อง ไม่สูงมากเกินไป ก็เป็นทางเลือกให้เขาตัดสินใจเช่าห้องได้ง่ายขึ้น 

            พอลงรถไปสอบถามร้านที่สี่ เป็นห้างขายวัสดุขนาดใหญ่อีกแห่ง แต่มีแอร์ให้ดูน้อยยี่ห้อ น้อยรุ่นด้วย สองผัวเมียจึงเลิกการสำรวจราคาแอร์เพิ่ม รีบขึ้นกลับบ้าน

ขากลับ ระหว่างรถเคลื่อนตัวบนถนนสายรอบเมือง ผ่านแยกดงอู่ผึ้งที่กำลังสร้างอุโมงค์และสะพานข้าม เมียเปิดดูแชทกับร้านที่ติดต่อไว้ ถามย้ำว่าเป็นรุ่นธรรมดา หมื่นห้าพันบีทียู ติดตั้งได้พรุ่งนี้เลย จึงหันถามคนขับผู้เป็นผัว ผัวจึงว่า ติดก็ติดเลย เขาคิดไปว่า ดูท่าการบริการหลังขายเขาน่าจะโอเค เพราะมีระบบสื่อสารในออนไลน์และทางโทรศัพท์ชัดเจนและตอบกลับรวดเร็วดี น่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ น่าส่งเสริมสนับสนุน

รุ่งเช้าวันพุธที่ 4 พฤษภาคม ผู้ผัวไปรอช่างที่ห้องเช่า นัดกันสามโมงเช้า ช่างยังไม่มา เลยส่งโลเกชั่นให้เมียแชร์ไปหาทางร้านแอร์อีกที ไม่นานก็มีรถปิ๊กอัพแค็ปสีขาวเปื้อนฝุ่นโคลนกลางเก่ากลางใหม่ บรรทุกอุปกรณ์มาเต็มกระบะ รถเข้ามาจอดในที่จอดรถต่อจากรถของผู้เช่าห้องอีกสามคัน หลังจากทักทายกันแล้ว ช่างกับผู้ช่วยก็ลงมือติดตั้งแอร์

หัวหน้าช่างรูปร่างสันทัด สูงราวร้อยหกสิบเซ็นติเมตร ผิวออกขาว หน้าตาไม่อาจดูออกเพราะสวมหน้ากากอนามัย ใส่กางเกงยีนส์สีหม่นเทาออกดำ เสื้อยืดคอเชิ้ตสีเทา สกรีนชื่อร้านเป็นแถวพาดกลางหลัง ท่าทางทะมัดทะแมง มีผู้ช่วยเป็นหนุ่มร่างโย่งสวมกางเกงยีนส์หลวม ๆ เห็นหัวกางเกงบ็อกเซอร์สีลายดำแดงใต้ชายเสื้อสีฟ้า อีกคนเตี้ยกว่าเล็กน้อย แต่งตัวเหมือนหัวหน้า ร่างผอม ผิวออกเข้มกว่าเพื่อน

คนที่ท่าทางเหมือนหัวหน้าปีนขึ้นบันไดเหล็ก ใช้สว่านไฟฟ้าเจาะผนังห้องตามรอยที่ใช้ดินสอมาร์กไว้ มีคนตัวโย่งเป็นลูกมือ จับโน่น ยื่นนี่ให้ อีกคนแกะเครื่องแอร์และเริ่มต่อสายไฟสายท่อแอร์ 

ผัวเจ้าของหอถ่ายภาพรุ่นแอร์ส่งไปให้เมีย เมียตอบข้อความมา 

“อ้าว ไม่ใช่รุ่นธรรมดานี่ เป็นอินเวสเตอร์” 

หนุ่มใหญ่ผู้ผัว จึงคุยกับหัวหน้าช่าง เขาบอกมีแต่อินเวสเตอร์ครับ และรุ่นนี้มีแค่ยี่ห้อนี้ด้วย อันนี้แหละประหยัดไฟดีครับ ใช้ง่าย ไม่จุกจิก มีอะไรบอกทางร้านได้เลย จะดูแลให้ ราคาก็หมื่นเจ็ดพันเก้าร้อยตามที่แชทคุยกัน 

สองผัวเมียตอบข้อความกันไปมา การติดตั้งก็ดำเนินไปนานราวสองชั่วโมง พอช่วงท้ายระหว่างช่างเก็บเครื่องมือขึ้นรถ หลังติดตั้งคอยน์เย็นที่หลังหอเสร็จ ผู้ติดตั้งจึงเผยเรื่องราวเล็ก ๆ เกี่ยวกับร้านของตน เป้นคำตอบตามที่ผู้ซื้อเครื่องแอร์ถาม

"ผมเป็นเจ้าของร้านเองครับ เปิดร้านมาเจ็ดปีแล้ว เพิ่งมาเปิดที่ถนนนิกรธานีข้างหน้าบิ๊กซีอุบลนานเกือบสองปีแล้ว ห้าปีก่อน ร้านตั้งอยู่แยกหนองตาโผ่น ที่อำเภอวารินชำราบ ทางไปวัดหนองป่าพงของหลวงปู่ชา สุภัทโท ทางเดียวกับที่ไปอำเภอสำโรง ไปอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ แน่ล่ะ ขายเอง ติดตั้งเองได้ เพราะตอนนี้ยังหนุ่มยังแน่น มีแรงเดินทาง ทำงานหนักได้ จำเป็นใช่น้อย วัยหนุ่ม ทำธุรกิจ ต้องลุยเองแบบนี้ครับ จึงพอจะเห็นทางก้าวหน้าเร็วขึ้นสักหน่อย"


“ถ้าเขาไปรอด ร้านเขาไปรุ่ง ไม่นานเขาก็ต้องให้ช่างไปติดตั้งแทน ถึงเวลาหนึ่ง เขาคงต้องเลือกที่จะบริหารเพียงอย่างเดียว" เมียคาดการณ์ตอนทานข้าวแลงกับผัวในเย็นวันนั้น

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2565

แก้วกับกระป๋องเบียร์


[เรื่องสั้นโดย คีต์ คิมหันต์]

"จักแก้วบ่เพื่อน" รินเบียร์ใส่แก้วตัวเอง ฟองฟ่องฟูแบบเพื่อนชาวเยอรมันบอก พวกเขาชอบกินเบียร์แช่เย็น ไม่ใส่น้ำแข็ง รินดื่มแบบมีฟองเยอะๆ ท้องจะได้ไม่ผูก
"บ่ดอก เฮามักป๋อง" ยิ้ม ล้วงกระเป๋าสะพายสีดำ ป๋องเบียร์ไซส์บิ๊กติดมือออกมา ดึงกดเปิด เก็บชิ้นส่วนสำคัญที่จับอยู่ลงช่องกระเป๋าด้านนอกรอไปสะสมส่งให้หน่วยรับไปใช่ทำขาเทียม ยกเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่ ลดมือวางป๋องเบียร์บนโต๊ะไม้ริมชายหาด

บทสนทนาต่อจากนั้น ครูหนุ่มทั้งสอง เริ่มด้วยเรื่องครอบครัว ลูกเมีย ต่อด้วยเรื่องเรือกสวนที่เตรียมการก่อนเกษียณ ปลูกอะไร ดูแลเช่นไร เติบโตถึงไหนแล้ว จากนั้นก็ถามไถ่ถึงเพื่อนร่วมรุ่นประถม มัธยมต้น-ปลาย ใครตายแล้ว ใครมีชีวิตเช่นไร อย่างไร
ต่างแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อนที่ทำงานหรือมีบ้านช่องใกล้กัน บางคนเลิกราแฟนเก่าไปมีแฟนใหม่ แบบสวยหล่อเลือกได้ บางคนไปเป็นรองฯ เป็นผอ. บางคนทำนาทำสวนตามอาชีพพ่อแม่ หลายคนตาย เรื่องน่าแปลกคือ ที่ตายเพราะมะเร็งกลับเป็นพวกผู้หญิง เป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องปาก แต่พวกผู้ชายไม่มีข่าวคนตายเพราะมะเร็ง ทั้งที่หลายคนดื่มหนัก สูบจัด และทุกวันก็ยังไม่เลิกดื่ม ไม่เลิกสูบ

เพื่อนคนรินเบียร์ลงแก้วดื่ม คุยถึงการลงทุนในโลกคลิปโต เขาบอก นี่คือเทรนด์อนาคตที่จะเปลี่ยนโลก รัฐบาลประชาธิปไตยที่ผู้นำมาจากการเลือกตั้งจากสิทธิ์เสียงประชาชนตัวเป็นๆ แท้จริง จะส่งเสริมหรืออย่างน้อยก็ไม่ขวางการเติบโตของคลิปโต กะไผจะยอมทิ้งฐานเสียง ดูอย่างอเมริกาที่จัดการให้สวัสดิการอย่างดีแก่พี่น้องไร้บ้านสิ โลกยุคอันใกล้นี้ ตลาดหุ้นจะค่อยๆ หดตัวลง ประเทศต่างๆ กำลังทยอยเปิดตัวเหรียญคลิปโตในชื่อสกุลเงินของตน คนลงทุนง่ายแค่ใช้ปลายนิ้ว ในมือถือ คนขุดบิตคอยน์จะรวย คนที่ลงทุนบิตคอยน์ด้วยความรู้ทางการเงินการตลาดทุนขั้นสูงจะรวย สำเนียงสำนวนเขาพูดนั้น ช่างน่าฟัง ชวนติดตาม เหมือนน้ำเสียงห้าวกังวานจริงใจของหมอลำรุ่งโรจน์ เพชรธงชัย ยามย่าวลำเพลินชุดฮ่องไห่ใส่เดือนกะบ่ปาน

"รวยง่ายแบบนี้ แล้วใครจะทำงาน ไม่ไปเล่นคลิปโตหมดบ้อ" เพื่อนที่ยกป๋องเบียร์ถาม ในใจนึกถึงสวนสารพัดไม้ผลของตน มันคือดอกผลของแรงงานบวกความเชื่อมั่น ใช่สุด! ความมั่นคงทางอาหาร ที่มั่นสุดท้ายหลังปลดเกษียณ เขาหวังลึกๆ ว่าชีวิตชีวาของเด็กน้อยเลี้ยงควายในคราบคนชราจะหวนกลับมาอีกครั้ง

"มันไม่ง่าย ไม่ใช่แบบนั้นเพื่อน" แก้วเบียร์ถูกยกดื่มจนเกลี้ยง เปิดขวดใหม่ รินผ่านน้ำแข็งจนเต็มแก้ว แล้วอธิบายสัจธรรมในโลกการลงทุนเพิ่มเติม

เขาว่า คนลงทุนร้อยคน รวยมากๆ มีแค่สาม  รวยธรรมดาแค่ห้า อีกห้าคนอยู่ทุน ส่วนอีกเก้าสิบขาดทุน สรุปว่า อยู่ในตลาดได้แค่ร้อยละสิบ นอกนั้นถ้าไม่พัฒนาความรู้วิธีการเทรดให้ไปอยู่ในกลุ่มร้อยละสิบนั้น ก็ถูกกลืนหายไปในคลื่นการลงทุนที่ถาโถมเป็นแมงเม่าบ้าง ติดดอยจนต้องยอมขาดทึนเพื่อเอาทุนที่เหลือน้อยนิดคืน ที่สุดหลายคนต้องออกจากตลาดไปตามระเบียบ เหมือนกันทุกตลาด ตลอดค่าเงิน ตลาดหลักทรัพย์ ตลาดคลิปโต คิดดูสิ สิงคโปร์ เออียู เอลซัลวาดอร์ที่ใช้เงินดิจิตอลเต็มสูตรเป็นชาติแรก และเป็นประเทศที่รวยระดับอภิมหาเศรษฐี อยู่ในสิบเปอร์เซ็นต์แรกของนักลงทุนนั้น รวยแบบให้สวัสดิการประชาชนทุกคนให้อยู่ดีกินดีถ้วนหน้าเล้ย แต่เขากะยังคงทำงานกัน บ่ต้องย่านเรื่องนี้ดอกเพื่อน ประเทศเราคนต้องทำงานอยู่แน่ อย่างน้อยก็เป็นคนร้อยละเก้าสิบนั่นแหละ ส่วนข่อยเอง ตั้งเป้าเป็นคนพวกสิบคนข้างบนนั้น

"รวยแล้ว ช่วยซุกยู่เปลี่ยนแปลงสังคมให้เท่าเทียม นำบ่?" บีบกระป๋องเบียร์เปล่าโยนลงถังขยะ เปิดฝากระติกแช่เบียร์ใบใหญ่ หยิบกระป๋องใหม่มาเปิดยกดื่ม มองฝ่าแสงไฟริมฝั่งลงไปยังฉากทะเลยามเที่ยงคืนที่มีแสงไฟเรือหาปลากะพริบห่างกันป็นจุดๆ 

"ไม่เพื่อน ไม่" แล้วเขาก็ยกเบียร์ในแก้วรวดเดียวหมด แล้วรินใหม่จนเต็มแก้วอีก

เขาขยายความต่อ ทำนองว่า อย่างเรารู้ตัวดี เราคนตัวเท่ามดไต่ดอกมะม่วงในเพลงคืนลับฟ้าเสียงของเหลือง บริสุทธิ์ จะสะเออะไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรๆ ในประเทศนี้ได้ แต่เชื่อเถอะ คลิปโตจะมาแทนธนาคาร ตลาดหุ้น ที่เก็บค่าธรรมเนียมโคตรแพง ในไม่ช้า และจะมาเป็นหลักประกันการเงินของโลก ตีคู่มากับทองและเงินดอลล่าร์ยูเอส และจะมีมูลค่ามากขึ้นมากขึ้นกว่าสองอย่างของเก่านี้เสียอีก อย่างที่แม้ยูเอสเอง ในที่สุดก็ต้องลงมาใช้สกุลคลิปโต จะยื้อไปได้กี่น้ำ สงครามตัวแทน ที่เขาพยายามกดคนอื่นด้วยเงินสกุลดอลล่าร์กระดาษเฟ้อ อย่างที่รัสเซียกำลังพยายามหาทางสลัดแอกนี้ จนจำต้องก่อสงคราม ยูเครนเองก็เถอะ คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกัน อีหลักอีเหลื่อในใจใช่น้อย ประเทศใดที่ล้างหนี้อเมริกาได้ เขายิ่งชอบใจกับที่พึ่งพิงอ้างอิงทางการเงินอันเสรีเท่าเทียมในระบบบล็อกเชนของคลิปโตอย่างไม่ลังเลใดๆ

ครูฟิสิกส์วัยสองซาวปลายหยุดจิบเบียร์มองหน้าเพื่อน แล้วว่าของเขาต่อ เพื่อนไม่ลองก็ดีแล้ว มันไม่ง่ายนะ เราเล่นหุ้นมาแต่เข้าป.ตีปีแรก เล่นลงทุนทุกตลาดที่ลงได้ ขวนขวายอบรมแสวงหาความรู้มามาก ชอบและเห็นช่อง คิดว่าตอนนี้เราเองเข้าอยู่ในกลุ่มต้นๆ ของคนไทยที่เข้าใจและเล่นเป็นนะ ตลาดคลิปโตนี่ เล่นเป็นแบบไม่มีวันขาดทุนอีกต่อไป แม่นแท้ เฮาเอาเงินล้านนะ เงินสองล้านแล้วที่ลงไป ลงไป ลงทุนไปให้ออกลูกเป็นเงินแสน แม้สองปีมานี้ มีวิกฤตโควิด และตอนนี้มีสงครามตัวแทนระหว่างรัสเซียกับยูเครน พล็อตเราก็ยังทำกำไรนะเพื่อน เดือนนี้อย่างน้อยก็กำไรเกือบสองหมื่นล่ะ

ครูภาษาไทยวัยเดียวกันยกป๋องเบียร์ดื่ม แอบถอนหายใจก่อน ยิ้มให้เพื่อน แล้วว่า เราดีใจที่ได้เปิดหัวเปิดหูเปิดตากับเพื่อนนะ ได้รับความรู้กับเพื่อนนะ ราวโชครางวัลที่หนึ่ง แม้ไม่มีโอกาสอย่างเพื่อน แต่เพื่อนทำให้รู้เข้าใจการเงินการตลาดทุนของโลกชัดขึ้น ที่เพื่อนว่า ตลาดซื้อขายของเกษตรล่วงหน้าที่เมริกาควบคุมอยู่ ยังไงเราก็ไม่มีทางขายข้าวขายมันขายยางได้ราคามากกว่าที่พี่เบิ้มของโลกกำหนดแน่ โชคดีที่เป้าหมายของเราคือความมั่นคงทางอาหารของครอบครัวญาติมิตร เออ เฮาสีข้าวเหนียวข้าวจ้าวมาฝากเพื่อนด้วยนะงวดนี้ มีหอมกระเทียมอย่างละต่องด้วยเดอสิบอก เพื่อนเอ๋ย

ถึงตรงนี้ วิชาการเงินการธนาคารของโลกก็จบลง เบียร์ในแก้วในป๋องก็เริ่มหมดลงๆ จากนี้ไปเป็นการร่วมร้องเพลงสลลับวรรคกัน รำลึกถึงคืนดวลเพลงบนต้นมะม่วงริมรั้วโรงเรียนประถมของเย็นวันนั้นหลังเอาควายเข้าคอกเสร็จ ผิดแต่คืนนี้ เพลงที่ร้องกันไม่ใช่กลอนลำไก่ฟ้า รุ่งโรจน์ สาธิต เฉลิมพล พรศักดิ์ แต่เป็นเพลงช้าของสนธิ สมมาตร และศรชัย เมฆวิเชียร ในห้วงท่วงทำนองแห่งความหวานเศร้าเหงาแต่เปี่ยมศรัทธาในความรักในชีวิตพื้นเมือง...

อากาศเริ่มเย็นลง ลูกเมียของครูทั้งสองคงหลับปุ๋ยเพราะเล่นน้ำทะเลกันเกือบครึ่งค่อนวัน 

ที่นั่งตรงนั้น ชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้ประกอบลวกๆ ของโรงแรมระดับสามดาว ริมหาดทรายชายทะเลตอนตีหนึ่งกว่าๆ  ไร้เสียงคนพูดคุย ไร้เสียงดนตรีจากห้องอาหารของโรงแรมสี่ดาวห้าดาวที่อยู่ขนาบข้าง ไร้สรรพสำเนียงแมลงริมทะเลน้อยใหญ่ 

บทเพลงคนละท่อนของครูหนุ่มทั้งคู่ยังเคลื่อนไปราวรถไฟสายใหม่วิ่งออกจากเมืองอุบล เลียบริมแม่น้ำมูน มุ่งข้ามช่องเม็ก เข้าไปในอ้อมกอดเมืองปากเซ ผ่านภูผาป่ากาแฟทุเรียนบ้านเมืองปากซอง สู่การจุมพิตของธรรมชาติแห่งดินแดนอุดมทำนองดินดีมีปุ๋ยขี้ควายนามอัตตะปือ 

...แสนคิดถึงบัวลอยสาวเมืองอุบล เพิ่นจากบ้านไปดน ป่านนี้ก็ยังบ่มา... 

มีเพียงเสียงคลื่นทยอยกระทบฝั่ง บางครั้งคลื่นใหญ่ที่กระแทกพะนังกั้นก็ฝากฝอยเม็ดน้ำเค็มมาแตะต้องแขนขาของคู่ดูโอ้เพลงฮิตของวันวานที่กำลังหลงใหลอยู่ในภวังค์ของบทเพลงวันวานอย่างต่อเนื่องกันแบบมาราธอน สนธิหมดเพลง ศรชัยหมดอัลบั้ม ก็เลยมามาลัยใจดำ เขามีรักใหม่ ...ของไอ้หนุ่มแขนซ้ายลายมังกรพรศักดิ์ ส่องแสง เรื่อยไป จนเบียร์ในแก้วและในกระป๋องงอนจนหายงอนไปหลายเพลา 

พรุ่งนี้เช้า หาดทรายตรงหน้าจะอยู่ใตัผืนน้ำและลูกคลื่นใหญ่น้อย จนกว่าจะสายของวันใหม่ หลังพระบิณฑบาตเลียบชายฝั่งกลับถึงวัดฉันเช้าเสร็จกลับกุฏิทำกิจทำความสะอาดบริขารสถานที่เสร็จโน่นแหละ ผืนน้ำจึงจะล่าถอยลงไปสู่ที่ตั้งเดิม เผยให้เห็นหาดทรายใสสะอาด ชวนเดินเล่นและใข้ชีวิตต่อไป.

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2565

ตีนเปิ่มเมือบ้าน

 

-เรื่องสั้นโดย คีต์ คิมหันต์-

---เรื่องสั้นชนะการประกวด "ชายคาเรื่องสั้น 10" ปี 2018---

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ในบั้นมิติแห่งความสิ้นหวังอันเศร้าหม่นของแผ่นดินในทีปแทวแถวฝั่งขวาของแม่น้ำของ สี่พันดอน ที่เอิ้นกันว่าอารยประเทศวิเศษโลกานี่นั่น หลายสิ่งอันดูเหมือนจะยังฮุ่งเฮืองปานแสงทองส่องสาดท่งข้าวยามเหลืองกล้วยพวมลงเกี่ยวเป็นฟ่อนไว้มัดกำหลำซ้อม


แต่สิมีคุณค่ากระไรเล่าผู่สาว ความงามแบบบ้านแบบเมืองก่อนเก่า ใผสิยอมรับเอาเป็นสรณะสำหรับชีวิตและสังคมได้


นั่นตี๋ละ แนวคนทั้งหลายเพิ่นทยอยยอมสยบก้มกราบหน้ากากโฆษณาค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี ตลอดจนแบบแผนทางการเมืองของใผเพิ่น ซึ่งตั้งตะหง่านหอมกลิ่นน้ำหอมที่ซ่อนเสื่องกลิ่นหื่นคาวเลือดคาวโลภ ที่ต่างคนกะต่างรับเอามันไว้เป็นแนวทางให้เจ้าของก้าวย่างเดินตามบ่เคยขาดสาย


ชัดเจนแล้วเด เพราะนั่นคือหลักประกันความสุขสบายอย่างผู้ชนะตลอดชาติ ที่บ่มีวันบิดพลิ้ว
ผู่สาวผู่ข่าเอย เรื่องที่เกี่ยวแก่ความสิ้นหวังอันเศร้าหม่นทั้งหมดนี้ กะละแม่นคำสารภาพของคนผู่ย่ำย่างอยู่ฮิมทางดินที่อยู่ขอก ๆ ถัดออกมาจากไหล่ทางของถนนหลวงสุนทรียวิพากย์ ท่อนั่น


1

ผู่ข่าก้าวขึ้นรถสายันต์อุบล-อุดร เที่ยวล่อง ที่สถานีข้างคลองสมถวิลในเมืองมหาสารคาม
อีกสามวันแล้วตี้ วันสงกรานต์จะมาฮอด ผู่ข่าคือมาบ่มีจุดหมายแท้นอ ปีนี้


เดิมทีการเดินทางกลับไปก้ำฝ่ายเมืองดงอู่เผิ่งของผู่ข่า ก็หมายมุ่งไปตามนัดของสาวอุบลคนไคปากไทกรุงเทพ คนเคยฮักกัน ว่าสิไปเล่นสาดน้ำรอบ ๆ ท่งศรีเมือง และแวไปกินกุ้งเต้นแถวหาดคูเดื่อกับเธอ แต่มันก็ต้องมีอันสูญสลายเลือนหายไป คล้ายหมอกควันเหนือท่งข้าวคราวเดือนเก้าใกล้ดับที่ค่อย ๆ มายออกจนเผยให้เห็นโฉมหน้าเด็กน้อยนักปักเบ็ดเดินย่างฮ้องแอ่วลำขอนแก่นกลอนโปรดมาตามคันแทนา …เมื่อลมหนาวพัดมาน้ำตาหลั่ง คำน้องสั่งแว่วมาน้ำตาไหล พอข่าวออกใบวีเจ้าหนีไกล ยืนร้องไห้คอยนางที่ยางซุม… แม่นแท้แหล่ว เสียงของหมอลำไก่ฟ้า ดาดวง แต่งโดย อ.สุพรรณ ชื่นชม บักหล่ายินดีกับปลาข่อโตญี่ในข้องสะพาย ตั้งใจคัก สิเอาไปฝากอีแม่ไว้ปิ้งไปถวายญาครูเอาบุญ


จดหมายลายมือของผู่สาว มาฮอดตอนต้นเดือน เป็นจดหมายบอกเลิกกัน นั่นล่ะ แม่นตัวบทที่แสดงสัมพันธบทระหว่างตัวบทความคิดอ่านกับตัวบทความเป็นครูของผู่ข่าในหลายลักษณะที่เธออ่านแล้วบอกว่ามีความหมายที่บ่อาจสิทำความเข้าใจได้ในชาตินี้ ว่าสั้นว่า โอ ชีวิตนี่มันช่างคล้ายวรรณกรรมแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สักเรื่อง รอท่าใผล่ะ นักอ่าน นักวิจารณ์วรรณคดีคนใดชาติใด ที่ค้นเจอและพอใจหยิบยกไปอ้างอิง อ้างถึง หรืออ่านเอาความหมายทำนอง ‘ผู่แต่งตายแล้ว’ อย่างสมเกียรติสมศักดิ์ศรีเหงื่อกาฬที่เสียไปของผู่ประกอบสร้าง ซึ่งมีอนาคตไปไกลได้แค่ครูแก่ ๆ ในอำเภอศอกหลีก บ่มีคุณค่าราคมราคา อย่างดี ไวไวนี้ก็อาจได้เป็นมหาบัณฑิต ป.โทนำเพิ่น หรือบ่ก็แค่มีชื่อในไตเติ้ลเพลงลูกท่งจักเพลงที่บรรจงแต่งให้ลูกศิษย์มัธยมเอาไปฮ้องเฮ็ดเพลงทำไฟล์โหลดขึ้นไว้ในยูทูป อาจแม่นเพลงในไฟล์คอมที่ถูกปริ้นไว้อ่านแก้ซึ่งวางถิ่มไว้เทิงโต๊ะในห้องพักนั่นก็เป็นได้

ฮักเจ้า ฮักหลาย สิล้มสิตายคันฮ้าง
สัญญาซุ้มดอกส้มมั่ง จ่ายเพลงผญาว่าฮักสุดใจ
บ่ายก่อนเลิกงาน มีพยานนักเรียนหญิงชาย
เจ้าเอียงแก้มให้บ่อาย ตอบฮักเต็มคำ เธอจำได้บ่

ดอกเตอร์คนใหม่ อัพไฟล์ลบรักเคยชื่น
อาจารย์หนุ่ม ม. เป็นหมื่น คึดแล้วกลืนน้ำตาจ่อหล่อ
ครูหนุ่มชุมชนนาสวนศักดิ์ศรีบ่พอ
บ่สมดอกเตอร์ดอกหนอ ต้อยต่ำส่ำตอ ป.โทระทม…

จั่งซั่น ผู่ข่าจึงขึ้นรถมาเทื่อนี่แบบ …ฟ้าเอ๊ย ฟ้าฮ้องหล่าย ไปตามลายมันสาก่อน เด้อละนาง…
ที่หมอลำ ป.ฉลาดน้อย ส่งเสริม หมอลำทางล่องทำนองอุบลผู่ยิ่งใหญ่เพิ่นว่าไว้


2

รถบัสพัดลมคันสีส้มเคลื่อนข้ามคลองสมถวิลเลี้ยวขวา กำลังจะทรงตัวกลับมาอยู่ในแนวขนานกับเส้นแบ่งช่องจราจร ผู่ข่ามองลอดช่องหน้าต่างทางซ้ายออกไป เห็นหญิงสาวใส่เสื้อผ้าฝ้ายสีขาวนวลแขนสั้น สวมกางเกงยีนส์ขาทรงกระบอกหลวมพอดี และสวมรองเท้าแตะคือกันกับผู่ข่าเลย
เธอยืนโบกรถที่หน้าร้านหนังสือดอกหญ้า รถจอดให้เธอขึ้นมาทางประตูหน้า สาวน้อยกำลังเดินมาทางผู่ข่า ใบหน้าเธอเบ่งบานปานดอกจำปาขาวทางขึ้นวัดพูเมืองจำปาสักหล่นค้างใบหญ้าอาบหมอกเช้าพู้นละ แม่นคัก เธอบ่มีที่นั่งแน่ ถ้าบ่มานั่งข้างผู่ข่านี่
“นั่งนำอ้ายได้บ่”
“นั่งข้างหน้าต่างบ่ล่ะ” ว่าแล้วผู่ข่าก็ลุกขยับให้เธอเข้าไปนั่งด้านใน
“ขอบใจหลาย” สำเนียงคือคุ้น ๆ คำ ‘ใจ’ นี่ ขึ้นเสียงสูงซันดีแท้


3

เฮาดม เว้าจา สนทนากันถึงที่มาของกันและกัน

รถประจำทางวิ่งแล่นด้วยความเร็วแต่นิ่มนวลราวยานอาวกาศที่อยู่ระหว่างโมงยามปราศจากข้าศึกสงครามในหนังไซไฟฮอลลี่วูด ทุกครั้งที่รถจอดก็จะมีคนลงตามรายทางเป็นระยะ จนถึงในเมืองร้อยเอ็ด คนที่นั่งอยู่เบาะใกล้เฮา ก็ค่อยหายไปที่ละเบาะสองเบาะ


รถมุ่งหน้าสู่ธวัชชบุรี ผู่ข่าแลซ้ายมองขวา ผู่โดยสารอยู่เบาะหน้าสี่ห้าคู่ และเบาะทางหลังอีกสามสี่คน ปล่อยตรงกลางรถให้ผู่ข่ากับผู่สาวคุยกันเพียงลำพัง


รถผ่านศูนย์ราชการมาไกลจนใกล้ถึงป่าด้านขวามือ ใช่ ผู่ข่าจำได้ นั่นค่ายลูกเสือธวัชบุรี ที่เคยนอนคลุกฝุ่นอยู่เป็นอาทิตย์ ในการฝึกภาคสนาม นศท.ปีสาม


แน่ละ ผู่ข่าได้เล่าเรื่องบางเรื่องให้สาวหน้าผากกว้าง ใบหน้าหวาน แม้สันจมูกจะไม่ตั้งสูงนัก แต่ก็พอดีพองามตามแบบฉบับสาวลาวใต้เมืองปากเซดอนโขงดอนซาด ริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่ม ยิ้มฟันสวยแม้เล่มคู่หน้าจะใหญ่เกินหมู่ไปนิด แต่กะดูแข็งแรงดี กลิ่นเนื้อหอมเย็นอ่อน ๆ ปานกลิ่นพวงขะยอมบานดั้วข้างโพนผักบั่วเฒ่าพ่อ ผู่ข่าแอบแนมซอมสิ่งผมดำปานเสื้อไหมเหยียบย้อมหมากเกลือของย่า ดูเป็นมันขลับยาวสลวย พลิ้วเล่นลมเคลียบ่าคลอแก้มอูมนวลใส ปลายผมขี้เล่นบางจังหวะก็ขยับหยอกเสื้อผ้าฝ้าย บางลีลาคล้ายแกล้งกระเซ้าเย้าเนินเนื้อตรงอกสาวยามรถทะยานวิ่งไปข้างหน้า


ผมคงมุดอยู่ในอ้อมกอดของกระดาษปริ้นตัวบทเพลง-ลำคีตกวีนิพนธ์ทางฝั่งขวาของแม่น้ำของช่วง พ.ศ. 2525-2545 ซึ่งผมแกะเนื้อมันจากม้วนเทปและแผ่นซีดีนับร้อย ๆ มาแล้วเกินสิบวัน ในห้องหอพักแถวขามเรียง เลียบริมฝั่งชีกันทรวิชัย ทางมอใหม่ไทสารคาม บ่ได้กิน ดื่ม อาบ ขับถ่าย บ่ได้คุยได้จากับใผ ก็งานวิจารณ์กวีนิพนธ์ร่วมสมัยในรูปแบบทฤษฎี การวิจัยทางวรรณคดีหลังสมัยใหม่ ที่ผมบังเอิญสนใจทฤษฎีสัมพันธบทของโรล็องด์ บาร์ธส์ นักสัญศาสตร์วรรณกรรมชาวฝรั่งเศส โดยได้เชื้อไฟของการค้นคว้ามาจากหนังสือเล่มนั่นละ สัญวิทยา, โครงสร้างนิยม, หลังโครงสร้างนิยม กับการศึกษารัฐศาสตร์ ของไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร ตามที่อาจารย์ที่ปรึกษาแนะนำและผลักดันให้ใช้มันทำงานวิจัยป.โทนี้ มันนำผมมาตกไกลหลายคัก


พอตื่นขึ้นอีกเทื่อ มองผ่านหน้าต่างหอพักลงไป ก็เห็นรถ 1669 นำร่างผมไปให้หมอพิสูจน์ทราบการหยุดทำหน้าที่ของอุปกรณ์ก้อนเนื้อภายในร่างกาย โอ นี่มันปลอดโปร่งโล่งโถงคักแท้ การขึ้นสอบบทที่สี่ที่ห้า เพื่อจบการศึกษาในเวลาที่บีบหัวใจ หนึ่งเดือน จะได้ไม่ต้องเกิดขึ้น บ่ต้องให้กำเนิดเล่มวิทยานิพนธ์ที่มันอาจต้องอยู่อย่างเจี๋ยมเจี้ยม บ่ต้องพลอยอายเขิน ว่าจะทัดเทียบเทียมกับงานวิจารณ์แนวขนบทั้งการวิเคราะห์เชิงอนุรักษ์ฉันทลักษณ์และแนวนิยมเชิงสุนทรียภาพแบบแผนได้หรือไม่


ดีเหมือนกัน ปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวบทเพลง-ลำคีตกวีนิพนธ์ทางฝั่งขวาของแม่น้ำของเก่าใหม่กลายเป็นความลึกลับอีกต่อไป ไม่ต้องได้ยินกรรมการสอบบางท่านสรุปความเห็นเป็นทำนองแบบตอนสอบเค้าโครงสามบทแรก


“อาจารย์ขอชื่นชมคุณนะ นี่เป็นเรื่องที่อาจารย์ก็เพิ่งได้เรียนรู้…”
นี่ท่านอาจารย์เพิ่นชื่นชมผมจริง ๆ แม่นบ่นอ หรือแค่ส่งสัญญะอันหนึ่งอันใดให้ผู้อพยพทางแนวคิดทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมไว้พิจารณาเจ้าของเล่าหนอ


4

ผู่ข่าเคยมาฝึกรด.หม่องนี่เด ได้เป็นหัวหน้าหมู่ในกองร้อยสี่ จำได้ดี คืนนั้นเป็นคืนแรก ลมหนาวเดือนสิบสองพัดต้นไม้ดังอื้ออึง ในค่ายลูกเสือที่ถูกเรียกในห้วงนั้นว่า ค่ายฝึกภาคสนาม นศท. ปีสาม สมาชิกค่ายคือนศท.ที่ขึ้นตรงต่อจังหวัดทหารบกร้อยเอ็ด ผลัดนั้นมีนศท.จากโรงเรียนในจังหวัดยโสธรกับร้อยเอ็ด รวมกันสักสิบหรือสิบเอ็ดโรงเรียนนี่ละ


มื้อรายงานตัวเข้าฝึก หลังเสร็จกิจกรรมภาคค่ำแล้ว นศท.ก็ถูกปล่อยไปยังค่ายพักตาม กองร้อย ผู่ข่ากับหมู่อยู่ร้อยสี่ ไปถึงที่พัก หัวหน้าหมู่ก็ต่างจัดเวรยามเฝ้าค่าย ซึ่งกะคือเรือนสำนักงานบ้านไม้ทรงไทยมีจั่วชั้นเดียวขนาดย่อมสี่หลัง ผู่ข่าในฐานะหัวหน้าหมู่ที่สี่ ที่สมาชิกเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน จัดให้นศท.รุ่ง เพื่อนคนร่างใหญ่ผิวเข้มฟันขาวหน้าตา ดูคลับคล้ายบัวขาว บัญชาเมฆ เป็นเวรยามผลัดแรกอยู่ช่วงสามถึงสี่ทุ่ม เราจะผลัดเวรกันทุกชั่วโมง


ลมหนาวพัดหน่วงหนัก เสียงนศท.ทุกกองร้อยเงียบลงได้พักใหญ่ เสียงแมลงกลางคืนก็หลบให้เสียงลมบรรเลงเพลงสดหนาวกระชากใจแต่เพียงลำพัง ความวังเวง ชวนให้คิดถึงที่นอนที่บ้าน


ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลมาค่ายกว่าร้อยกิโลเมตร จากอำเภอค้อวังเมืองริมฝั่งซีตอนใต้ขึ้นเหนือข้ามซีเทื่อแรกจากฝั่งขวามาฝั่งซ้ายที่เมืองมหาชนะซัย แล้วจึงข้ามซีคืนมาฝั่งขวาอีกเทื่ออยู่แถวท่าสะแบง เมืองเสลภูมิ ทำให้รุ่งผู่ยืนเวรหน้าที่พักในท่าตามระเบียบพักต้องทรุดลงนั่งพิงเสาเรือนพัก ไม่ถึงอึดใจที่นั่งลง เพื่อนก็หลับเซือบไป ไม่นานก็ได้ยินเสียงสวบ ๆ และเสียงคุยกันของคนเดินผ่านป่ามืดดำมายังที่พักของหมู่ผู่ข่า แน่เลยหนึ่งในเสียงนั่นคือครูผู้กำกับนศท.โรงเรียนของเฮานั่นเอง


“หลับเวรเหรอ ทหาร! แถวตรง!” ครูอำนาจสั่ง ในมือกำปืนเอ็มสิบหก กดปลายปืนลงพื้นทางหน้าขาซ้าย ทหารอีกนายที่เป็นครูฝึกประจำกองร้อยยืนข้าง ๆ กัน ยิ้มพอใจ ฟังจากน้ำเสียงแล้วแสดงว่าแอลกอฮอล์ไหลลงท้องคนทั้งคู่มาเกินขนาดที่ร่างกายจะควบคุมสติได้อย่างปกติ จึงย้อมใจให้เกิดความสนุกสนานในการใช้อำนาจ สมชื่อ


“ไปมุดน้ำในถัง ปฏิบัติ” เพื่อนของเราวางปืน วิ่งไปยังตีนป่าเยื้องๆ กับที่พัก ที่ที่มีถังน้ำอาบอยู่ห้าใบ เป็นถังสังกะสีที่เคยใช้บรรจุน้ำมันมาก่อน เขาเอายางมะตอยทาเคลือบด้านในสำหรับใส่น้ำอาบ


“ลงไป ไวเข้า” ลมหนาวเหน็บเนื้อ เพื่อนเราหันมองหน้าคนสั่งเหมือนขอความเห็นใจ


“ไม่ต้องมอง ลงไป!” ผู่ข่ามองผ่านปลายเท้าตัวเองออกไปยังประตูบ้านพักที่เปิดอ้าอยู่ เห็นเพื่อนผู่โชคร้ายของเราค่อยๆ ปีนและหย่อนตัวลงถังขี้โล่ที่มีน้ำเย็น ๆ รออยู่


“ดีๆ มุดน้ำลงไป… นั่นแหละ ๆ ขึ้นมา ไปยืนเวรที่เดิม” เพื่อนรุ่งวิ่งมาถือปืนด้ามไม้สมัยสงครามโลก ยืนทะมัดทะแมงตัวแข็งทื่อในท่าตามระเบียบพัก แต่ส่วนปากคางขากรรไกรสั่นรัว


“ห้ามหลับเวรอีกเป็นอันขาด” สิ้นคำสั่ง ทั้งคู่ก็เดินคุยกันหายเข้าไปในฉากป่ามืดดำ มีเพียงเสียงหัวเราะพอใจแทรกดังย้อนออกมาตามจังหวะกระแสลมหนาวกรรโชกป่าไพร
พอครูไปแล้ว เวรผลัดต่อไปก็ลุกไปเปลี่ยนเพื่อนรุ่งอย่างเร่งรีบ ไม่ต้องให้เตือนกัน
เจ้าฟังอยู่บ่ ผู่สาว
พอครูไปได้เดี๋ยวเดียว เพื่อนรุ่งก็เริ่มร้องไห้โฮ เฮาลุกขึ้นมาปลอบ


“ผู่ข่าสิเมือบ้าน ๆ” ลูกผู้ชายร้องไห้ขี้มูกโป่งไม่อายเพื่อนอายใคร เนื้อตัวทั้งชุดฝึกเปียกปอน สั่นเทา ผู่ข่าต้องเอาผ้าห่มมาตุ้มเพื่อนไว้


“อยู่ก่อน ๆ ไว้แจ้งแล้วค่อยว่ากันน้อ”


เวลาคืนนั้นขยับตัวผ่านไปไวบ้างช้าบ้าง ตามแต่ความคิดอ่านของนศท.แต่ละคน แต่ส่วนใหญ่คงว่ามันไวหลาย นอนยังบ่อิ่มจ้อย มาแจ้งไวตายแท้


แล้วเสียงนกหวีดครูฝึกก็ดังแทรกความมืดและเงียบหนาวของตีห้า ทุกคนจัดแจงแต่งตัวรวดเร็ว วิ่งจั้นไปเข้าแถวรวมพล

เช้านั้นเราวิ่งออกกำลังกันจนตาเว็นขึ้นเหนือทิวไม้ เสื้อผ้าชุดคาคีงเพื่อนรุ่งเริ่มหมาด พอยามสาย ๆ มาก็แห้งสนิท เฮาอยู่ค่ายด้วยกันครบทุกนายจนจบห้วงฝึก


5

“ฟังเบิ่งคือเป็นตาลำบากคักน้ออ้าย”
“ต่างคนต่างบ่อยากคัดทหาร ทนเอา”
“เป็นทหารนักเฮียน เพื่อบ่อยากไปเป็นทหารในกองทัพซั่นตี้”
“ก็จบรด.ปีสามแล้ว ถูกปลดเป็นทหารกองหนุนเลยไง พอเรียนจบปริญญาตรีไปทำงานไส ซำบาย บ่ต้องหลบต่าวกลับไปถูกทางการเกณฑ์ไปเป็นทหารอีก”
“ดีอยู่นอ”
“ดียุ ๆ”


ขบวนผู่อพยพจากนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน หนีการไล่ล่าของฝ่ายเวียงจันทร์ เลาะเลียบฝั่งลำซีลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงบ้านแดงหม้อใกล้บ้านกุดกะเสียน เมืองเขืองใน พระวอพระตาให้หยุดทัพพักเซาเอาเหงื่อเอาแฮง หุงหาอาหารกินกัน เวลานั่นเหมือนว่าสิได้ยินเพลงกวีพื้นถิ่นในอีกสามสี่ร้อยปีต่อมา เป็นเสียงของสนธิ สมมาตร ลูกหลานบ้านแดงหม้อ บรรเลงขับกล่อมญาติพี่น้องผู้อพยพหนีภัยสงครามดังแว่ววอน


…ดอกจานบานสะพรั่งกลีบโรย ดังแส้โบยหัวใจของพี่ให้แหลกเป็นผง เหม่อมองแม่โขง สายน้ำลิ่วลอยถอยลง…


นั่นล่ะ บทประพันธ์ของคีตกวีลุ่มน้ำของขนานแท้ ครูพงษ์ศักดิ์ จันทะรุกขา ต่อด้วยเพลง


…ผมจรรอนแรมจากลุ่มน้ำมูน ทิ้งถิ่นดอกคูนเพราะความรู้น้อยต่ำต้อยเพียงดิน…


นั่นสิ บทประพันธ์ของครูสุรินทร์ ภาคสิริ-ทิดโส สุดสะแนน


พักค้างแฮมคืนหนึ่งแล้ว ชาวลาวผู้อพยพหมู่หนึ่งจึงขอแยกตัวข้ามฝั่งซีหน้าแล้ง ฝ่าป่าดงใหญ่หนาทึบ ฝ่าป่าหนองหิ้งเมืองของงูจงอางเจ้าที่ ผ่านหนองยาง ลงมาตามทางที่ดวงตาเว็นเคลื่อนคล้อยลง มากันจนเมื่อยล้า จนตาเว็นใกล้ลับทิวไผ่ทิวยางนา ก็ถึงโพนที่มีซากกู่ของขอมเขมรโบราณอยู่ในดงยางดงเขวา จากโพนหันหน้าไปทางพายัพเห็นมีบึงบัวขนาดใหญ่อยู่บ่ไกล ที่นี่เป็นที่เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานที่อยู่ใหม่โดยแท้


…นั่นแน่ะ แม่นล่ะ บรรพชนคนยางซุม…
ผู่ข่าฝันอีกแล้ว… ฝันประหลาดแท้เด


6

อีกเรื่องเกี่ยวกับชีวิตครอบครัว เจ้าอยากได้ยินบ่ล่ะ ผู่ข่าถามสาวข้างกาย ดูเธอจะชอบฟังเรื่องเล่า เรื่องของปู่ซม ปู่ของผู่ข่า ผู่ข่าเล่าให้สาวหุ่นโก้ เอวคอด อกและก้นใหญ่ ร่างสมส่วนส่ำนักวอลเล่ย์บอลมือตบทีมชาติจีน ผู่ข่าเล่าให้เธอฟังว่า


ปู่ซมนำขบวนเกวียนเทียมงัว อันมีสินค้าของอยู่กิน ผักบั่วหัวกระทียมพร้อมมาขั่วบ้านแลกเปลี่ยนสินค้าหากำไร มาถึงบ้านธวัช นอนค้างคืนในวัดและไหลตาย ไทบ้านใจดีเผาปู่เก็บดูกไว้ ในห่อผ้าเกือบเดือน ข่าวจึงถูกคนเดินทางคาบผ่านข้ามลำน้ำซีที่เมืองฟ้าแดดสูงยางมหาชนะซัยผ่านดงยางบ้านหัวดอน ตรงไปตามทางเข้าบ้านตากแดด บ้านน้ำอ้อม บ้านผีผ่วน เข้าบ้านค้อ บ้านดงมะหรี่ ทะลุผ่าดงลิงบ้านฟ้าห่วน โค้งตามทางลงใต้ ข่วมขัวห้วยพระบาง ผ่านบ้านโพนเมือง บ้านแข่ จนถึงเขตบ้านยางซุม


ข่าวเศร้ามาถึง ลุงซื่นกับพ่อซินจึงได้เขียวค่ำเขียวคืนเดินเท้าไปเอาดูกพ่อปู่ซมกลับเมือเฮ็ดบุญหา สายฝนเดือนเจ็ดเพ็งกับน้ำตาลูกซายไหลปนกันอาบทางเกวียนดินทราย เป็นวันเศร้าที่แสนรื่นรมย์จั่งใด๋กะบ่ฮู้ได้


7

ใกล้ฮอดเมืองเสลภูมิแล้ว ยินเสียงลำเพลินสำนวนกลอนอาจารย์ประกิต อุ่นทรวง แต่งให้รุ่งโรจน์ เพชรธงชัยเป็นผู่ลำโญ่นใส่จังหวะกาเต้นก้อน เสียงขึ้นลงสุดส่าว ม๋วนม่วน ดังมาจากลำโพงรถ เหมือนคนรถหรือโชว์เฟอร์จะรู้ใจผู่ข่า ดนตรีมิกซ์หน้าตู้ ทุกชิ้นเล่นสดในห้องอัด ออร์แกน พิณไฟฟ้า และแซคโซโฟน สลับกันเป็นตัวนำ มีกลองชุด กลองทอม ฉิ่ง ฉาบ และเบสทุ้ม ตึ่มตึมตึม ตึมตึ่ม เป็นฉากหลัง


…โอยเดนาง เสียงลอยลมมาแต่โมงเกินร้อย หัวใจคนคอยเดี๋ยวนี่หดหู่ คึดถึงแต่ซู้พี่อุดอู้บ่
หาย…


นั่น ๆ ห่าวหันแท้ เจ้ามักบ่ ลำเพลินแบบนี่
ผู่สาวยิ้มแทนคำตอบ ผู่ข่าหลับตาฟังลำ แล้วหลับไป


8

“อ้ายๆ ฮอดเมืองดงอู่เผิ่งแล้วเด” รู้สึกมีมือสาก ๆ ของผู่สาวจับแขนผู่ข่า เขย่าเบา ๆ


“น้องสิต่อรถปากเซเมือบ้านแม่นบ่” ผู่ข่างัวเงียถาม


“แม่นแล้วอ้าย”


“ให้อ้ายเมือนำได้บ่เด”


“มาติอ้าย เมือบ้านเฮา แม่น้ำของสี่พันดอน”


A

ผมกับผู่ข่าคงตายแล้วนอ ผู่สาวที่คุยนำ แค่เคยเห็นขึ้นรถบัสคันหนึ่งข้างคลองสมถวิลแห่งเมืองตักศิลา และเธอก็ไปลงที่ธวัชบุรีในมื้อนั่น


มามื้อนี่ เธอมาขึ้นรถและย่างนำหน้า ทางดินขี้ตมเละบนดอนซาด กลางมหานทีสี่พันดอนนี่ได้จั่งใด๋

โตผมกับโตผู่ข่าหรือเธอตายก่อนกัน
ผมไม่กลัวเธอ เธอไม่กลัวผมและผู่ข่า
เฮาตายแล้ว! ซั่นบ้อ?
เฮากำลังกลับเมือบ้านหรือ?


ผู่ข่ากับผมเป็นใครกัน เป็นนักศึกษา เป็นพลเรือน เป็นหลานซายปู่ซม-นายฮ้อยงัว
เป็นลูกเป็นหลานผู้อพยพอยู่ไหม?


เอ…นี่สองฝั่งทางดิน ซุมพี่น้องเฮากำลังไถนา ลกกล้า ดำนา โอ นั่น บักหำน้อยป๋าโต ยิ้มใสอยู่ข้างคันแท กำลังเล่นน้ำนาที่ทอสีเงินแผ่ผืนกว้างไกล ปานฮูปแต้มสีน้ำมันของศิลปินหนุ่มเมืองหอมแดง งามแท้เด
ตีนเปิ่มผู่ข่า ย่ำย่างทางดินขี้ตมปนขี้ควย ตามก้นผู่สาวที่ขยับอยู่เบื้องหน้า


เธอค่อยๆ ห่างออกไป ห่างออกไป ทรวดทรงลีลาผู่เพิ่นสะพายเป้หลังนั่นงามปานช้าง งาก่วยกวยหาง
เสียงกบเขียดดังม่วนนวลหู ตาเว็นดวงส้มกลมใหญ่ใกล้สิลับทิวพร้าวทิวไผ่ สองเฮาเดินสวน
รถไถสกายแล็บของนักท่องเที่ยวชุดสุดท้ายของวัน แม่นแล้วล่ะ ผู่ข่าตามก้นผู่สาวมุ่งหน้าไปทางหลี่ผี
เฮือนไม้สักหลัง ฮิมน้ำใกล้ขัวสะพานที่ทหารฝรั่งเศสสร้างเอาไว้ในดงพร้าวเบื้องหน้า…


(ส. 22 ก.ค. 2560)




วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2565

ผู้โชคดี

-เรื่องสั้นโดย คีต์ คิมหันต์-


 22 ธันวา

ถึง คุณ ณ อีกหน้าจอ

ความจงใจใดเล่า จะทำให้อึดอัดขัดเคืองได้มากกว่า การสารภาพรัก แม้มันจะดูน่ารังเกียจเมื่อทำมันลงไปผ่านโลกเสมือน แต่ใจก็มิวายกังวลว่า สมควรไหม

จริงอยู่เราส่งข้อความสนทนากันมายาวนานกว่าสิบแปดปีแล้ว แม้ไม่ใช่การสื่อสารแบบทางเดียวเสียทีเดียว เพราะคุณก็โต้ตอบมาบ้าง เป็นข้อความง่ายๆ แต่สุภาพ จนผมประทับใจ บางคำบางวลี หรือกระทั่งบางประโยค ถึงขั้นอิ่มเอม ซาบซึ้ง ถึงขั้นเก็บมานอนฝัน หรือส่วนใหญ่คุณอาจแค่ส่งสติ๊กเกอร์รูปมือชูนิ้วโป้งมาให้แทนการตอบด้วยขบวนอักษร กระนั้นผมก็คิดในทางบวกเสมอ

วันนี้แค่นี้ก่อนนะครับ ผมต้องเตรียมกระเป๋าออกเดินทางก่อน ไปที่ทุ่งแห่งนั้น ที่ผมเคยเขียนเล่าว่า ผมอาจเลือกเป็นที่ตาย

ปล. ฝุ่นเยอะมากนะ ในเมืองของเรา ดูแลสุขภาพนะครับ

------

11 มกรา

ถึงคุณ ที่ความคิดถึงยังคึดฮอดตลอดเรื่อยมา

ผมตั้งใจ ไม่กวนคุณด้วยข้อความบันทึกมาเป็นยี่สิบวันแล้ว ส่งแค่ภาพถ่ายใบส้มแบงหลากลีลาบวกอักษรโตธัมม์และคำไทย มาให้ทุกเช้า

หากคุณเผอิญนำมาลำดับเข้า คิดตั้งเป็นชื่อบทนวนิวยายสักเรื่อง แล้วลองลงมือเขียนอย่างที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้ เราก็น่าจะได้นวนิยายเล่มงาม ไว้บอกกล่าวแก่คนที่จะมาอ่านมัน ว่ามันจะอยู่คู่โลกใบนี้ไปอีกนานแสนนาน

ผมตัดสินใจอยู่และสร้างงานที่นี่นะ หากคุณอยากแวะมาบ้าง ผละจากเมืองฝุ่นละออง หนีจากองค์การอันทรงเกียรติ พักการงานอันช่วยพยุงอุ้มชูสังคมของคุณ มาอยู่ชื่นชมธรรมชาติบ้านทุ่ง ดงหญ้าป่าละเมาะพื้นเมืองและสวนป่าดอกไม้ยืนต้นประจำถิ่น สักสัปดาห์บ้าง ก็คงนับเป็นโชคดีของผมมิใช่น้อย

(ก็คุณเขียนเล่าไว้ในสเตัสส่วนตัวนี่ ว่าคุณเป็นคนรักธรรมชาติและรักคนอยู่คนรักษาธรรมชาติ)

โอ ถึงเวลาชมดอกกะยอมแล้วเด

----------

11 กุมภา

ถึงคุณ คนงามสะพรั่งกลางใจดั่งพั้วดอกขะยอมหอมเช้าหมอกขัวนัว

ยินดีและขอบคุณหลายที่แจ้งให้ฮู้ผ่านคลิปอ่านบทกวีในยูทูป "ลาวเว่าว่า ชาแนล" ทำให้ข่อยเพิ่งมั่นใจว่าเจ้าบ่ขะลำแถมยกยอภาษาอีพ่ออีแม่เฮาอีกนำ

ต่อเรื่องพี่ชายเจ้าของสวนป่าขะยอม จาน ส้มแบง และเสลา กันนะ

เขาเคยเป็นมาหลายอย่าง ก่อนจะมาทำสวนป่าแห่งอนาคตอันรื่รมย์ของข่อย โดยขณะลาวลงมือลงแรงปลูกเสริมต้นไม้สี่สายพันธุ์นี้ ให้เป็นแถวเป็นแนว แทนที่การปลูกยางพาราไร้ราคาค่างวดที่ปลูกแทนข้าวนาปีในที่โคกดอนมาอีกทอดหนึ่ง

ที่แห่งนี้เคยเป็นมรดกของครอบครัวเฮา แต่เพราะอ้ายเพิ่นมักเดินทางท่องเที่ยวถ่ายภาพ พบปะเพื่อนใหม่ๆ ไปทุกภาคของประเทศ เพื่อนสมัยป.ตรี ที่รามคำแหง ก็ช่างชวน และเลี้ยงดูปูเสื่อเอื้อเฟื้อดีนักแล ทริปหลายสิบทริปไปประเทศในอุษาคเนย์และเอเชียก็เกิดขึ้น เพิ่นได้ไป ได้ถ่ายภาพ ได้ขายภาพ 

พักหลังคลั่งไคล้ถ่ายภาพดอกไม้ประจำถิ่น ถึงขนาดขอเพื่อนเจ้าของต้นขะยอมในที่ข้างๆ กันนี้ ทำบ้านต้นไม้แบบง่ายๆ กินนอนอยู่ในนั่นกับกล้องถ่ายรูปดิจิตอลตัวหนึ่งเป็นอาทิตย์ ตั้งแต่ดอกขะยอมเริ่มจ่อดอกจูมจีจนมันร่วงหล่นดินหมดต้น จึงลงมา

รูปชุดนั้นเอง ที่เพิ่นฝากขายในเว็บ ได้รับค่าตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ จนสามารถซื้อที่ดินผืนนี้คืนจากลุงที่ป่วยเป็นมะเร็งตรงข้อมือ ตัดแล้ว ทำคีโมแล้ว ก็ไม่หาย เงินที่พี่ชายข่อยจ่ายซื้อที่สิบหกไร่ตรงนี้ แม้จะมากถึงเจ็ดหลัก (ทั้งที่นาโคกไกลถนนหลวง-แพงคักแน สมัยเงินบ่มีราคา) ก็ไม่อาจใช้รักษายื้อชีวิตลุงได้

จากนั้นอ้ายเพิ่นกะตัดขายไม้ยางพารา จ้างรถไถมาปรับที่เป็นสามล็อค ตามความยาว ถ้าหันหน้าไปทางทิศเหนือ แถวติดแดนซ้ายสุดกะล่ะแม่นกกจาน ถัดมากะแม่นขะยอม ส้มแบง และเสลาเรียงแถวยุขวามือสุด

พันธุ์ไม้นี่เพิ่นได้มาจากการลงมือเพาะเอง ปลูกไปนำ เพาะไปนำ โดยเดินคอนกะต่าหาเก็บนำต้นแม่ตามงานนาท่ง นาโคกของพี่น้องอ้อมหมู่บ้าน

ใช้เวลาอยู่เป็นสิบปีกว่าสิได้แถวกกไม้ครบทุกต้นตามประสงค์ ที่เพิ่นตั้งใจปลูกให้ห่างกันต้นละซาวเมตร

ใผมาเห็นตอนนั่นกะล่ะแม่นว่าเพิ่นเป็นบ้า ชาวบ้านเขาเฮ็เนาปลูกเข้า ปลูกหอม พริก ฟักแฟง แต่งเต้า หรือบ่กะยางพารา มันสำปะหลัง นี่อีหยัง ปลูกกกไม้ ที่มันกะมียุแล้ว ปลูกทำไม บ้าไปแล้ว

แต่มาถึงตอนนี้ เกือบสามสิบปีเต็ม ทุกต้นใหญ่สูงเป็นหนุ่มสาวทรงพุ่มแผ่กว้าง ถึงฤดูก็เริ่มแต่งต้นด้วยดอกงามตามสายพันธุ์พ่อแม่

ข่อยโชคดีที่สุด ได้มาชื่นชมผลงานบทกวีต้นไม้ให้ดอกตามฤดูกาล ที่ผู้สร้างสรรค์ปั้นแปงตายจากไป ก่อนจะได้ชมดอกดั้วพวงก่องงามทั้งหลายนี่

ไว้คุยกันต่อเดอครับ ไปถ่ายฮูปดอกเสลาม่วงเทางามก่อน บ่ายคล้อยแดดงามแสงงามเดี๋ยวจะพลาด เดี๋ยวผมส่งคลิปดอกเสลาเคล้าสายลมมาให้นะ

คึดฮอดกันน้อครับ ดีหลายๆ

----------

14 กุมภา

หญิงสาวนั่งรถสองแถวประจำทาง ที่เคลื่อนออกจากตัวจังหวัด มุ่งไปสู่สวนป่าเบญจพันธุ์ เธอชั่งใจอยู่นาน ระหว่างเรื่องราวพิลึกของพี่ชายที่ตายไปของเขา ตัวเขา และสวนป่าดอกไม้ประจำถิ่น หรือบันทึกในกล่องข้อความกันแน่ ที่ทำให้เธอลาออกจากงาน เพื่อหนีเมืองฝุ่นฝ้าล้าอ่อน ไปยังที่ๆไม่เคยไป ไปหาคนที่เหมือนคุ้นเคยแต่ไม่เคยอยู่สองต่อสองเกินสองนาที

แน่นอนทีเดียว ตามที่เขาบอก ต้นไม้ทุกต้นดอกวายก่อนหน้านานกว่าสองสัปดาห์แล้ว แต่ความงามของรูปร่างลำต้นและใบเขียวใหม่ ที่ยืนอวดทรวดทรงปานแถวนางงามจักรวาลก็ยังชวนชม ชวนหลงใหล

เธอหวังว่า การตัดสินใจครั้งนี้ อย่างน้อยก็คงไม่เลวร้ายถึงขั้นป่วยหนัก หรือทำให้บาดเจ็บล้มตาย อย่างน้อยก็คงได้เห็นสวนป่าตัวเป็นที่เคยฝันเห็นตลอดห้าปีมานี้.






วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

กระจกคำ

เคยคิดไหมว่า คำ เป็นกระจกใสสุด

ที่พูดเช่นนี้ ด้วยว่า มีชายหนุ่มใหญ่อายุราวสี่สิบปลายๆ มักไปยืนมองป้ายโฆษณาอยู่นานสองนาน

ครั้งล่าสุด เขาไปยืนมองป้ายโฆษณาหาคู่ของสาววัยสี่สิบกลางๆ นางหนึ่ง ที่ปิดประกาศด้วยผ้าไวนิลผืนใหญ่ ข้อความที่ขึ้นอยู่ตรงกลางเยื้องไปทางขวา จากใต้ราวนมรูปถ่ายของนางที่เสนอหน้ายิ้มละไม ก่อนเขาผละเดินจากไป เขาโค้งให้ป้ายอย่างคนกำลังทำความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงค่าสักอย่าง

หลายวันต่อมา เขาก็มาทำอย่างเก่าอีก คือยืนมองป้ายอยู่นานสองนาน โค้งคำนับแล้วเดินจากไป คนที่บังเอิญมาพบเห็นก็ไม่เข้าใจว่า เขาทำอย่างนั้นทำไม


วันต่อมา ขณะที่เขากำลังทำความเคารพป้ายเสร็จพอดี หญิงสาวใหญ่คนงามก็ปรี่เข้าไปหา

"โทษนะคะ ฉันไม่รู้ว่า คุณทำแบบนี้ทำไม"
"โทษทีครับ ผมรุ้สึกขอบคุณคำ ๆ หนึ่งในป้าย เอ๊ะ! คุณนี่เอง" เขามองป้าย แล้วหันมาสบตานาง "คุณคือเจ้าของป้ายสินะครับ ยินดีด้วยนะครับ ป่านนี้คุณคงได้เจ้าบ่าวแล้ว"
"ยังเลยค่ะ" เธอพูดเสียงเบาแล้วก้มหน้ามองเท้า "คงไม่มีหวังแล้วล่ะค่ะ"
"อ้าวยังสาว สวย และรวยด้วย ผมนึกว่า..." เขาหยุดพูด เหมือนรู้ว่า ยิ่งเขาขืนพูดอะไรๆ เรื่องนี้ต่อไป อาจกระทบกระเทือนใจเธอยิ่งขึ้น "โทษทีนะครับ ทำไมคุณไม่ลองใช้แอปพลิเคชั่นหาคู่ล่ะครับ" เขาแนะนำ
"ไม่ดอกค่ะ ดิฉันว่า คนจริงใจต้องเริ่มจากการได้อ่าน ได้ขบคิด มิใช่อะไรๆ ก็หาตัวช่วย คนพรรค์นั้นหาง่ายจะตาย แต่ฉันคงไม่ยอมรับมาเป็นพ่อบ้านแน่ๆ"
"ทำไมรึครับ"
"คนขี้เกียจ"
"แล้วคนมาอ่านป้ายแล้วไปหาคุณ คุณก็จะยอมรับง่ายๆ งั้นรึ"
"ก็คงต้องดูใจกันไประยะหนึ่งค่ะ" นางจริงจัง "แล้วคุณล่ะคะ ที่ว่าขอบคุณคำในป้าย คำไหนรึคะ"
เขาแหงนมองป้ายขนาดสูงเท่าตึกสามชั้น กว้างเท่าผนังห้องหกเมตรต่อกันสี่ห้อง  ข้อความตัวใหญพิมพ์ด้วยสีชมพูมีเงาและลวดลายดอกไม้พลิ้วไหวน่าชื่นเชย
-อย่าให้วัยหนุ่มสาว- ตัวขนาดรองลงมาคือบรรทัดที่สองสีแดง -ที่เหลือค้างต้องสูญเปล่า- และ -มารักกับฉัน- ตัวเท่าบรรทัดที่สองแต่เป็นสีขาวขอบเขียว  ส่วนมุมบนขวา มีเบอร์โทรศัพท์ และไอดีไลน์ 
"สูญเปล่า ครับ คำนี้แน่ๆ สูญเปล่า"
นางจ้องหน้าหนุ่มใหญ่อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
"นี่คุณ...ผมทำอะไรให้หรือครับ จึงโกรธ หน้าแดงเหมือนยักษ์ขนาดนี้"
เธอสะบัดหน้าหนี และเดินจากเขาไป

---
ผู้แต่ง : คีต์ คิมหันต์
---

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ทางเลือกใหม่ [เรื่องสั้นทันเล่า โดย ทางหอม]

ในซอยแยกจากสายรอบเมืองที่เป็นถนนหลวงแปดเลน เข้าไปราวร้อยเมตรเศษ… นับจากมุมรั้วบ้านหลังติดถนนใหญ่เข้าไป บ้านหลังที่สาม นั่นล่ะๆ เป็นบ้านของเขา

 สองหลังแรกในรั้วเดียวกันนั้น เป็นบ้านของคนอื่น

 หลังด้านหน้า ที่เป็นบ้านติดทางหลวง ในรั้วเดียวกันนั้น เจ้าของคืออดีตผู้อำนวยการโรงเรียน

 หลังด้านในที่มีแค่รั้วกั้นกับบ้านเขา เจ้าของ ท่านปลูกให้ลูกสาว ที่กำลังใช้ชีวิตเดินตามรอยเท้าพ่อ แบบไม่ทิ้งห่างไปไหนเลย

 ส่วนบ้านตรงข้ามซอยนี้ ที่เป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่โต พื้นที่กว้างขวาง ปลูกต้นไม้ไว้ร่มรื่น นั่นคือบ้านของผู้มีอันจะกิน

 ข่าวว่าเจ้าของบ้านทำกิจการร้านทำป้ายโฆษณา ที่ลูกค้าหลักเป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเขายังไม่เคยรู้จักหน้าค่าตาเลย แม้จะย้ายมาอยู่ที่นี่กว่าสิบปีแล้ว

 ซอยนี้ไม่มีใครจำเป็นต้องมาร่วมใช้แต่อย่างใด เพราะบ้านคนรวย เขามีทางเข้าต่างหาก เป็นซอยส่วนบุคคลที่อยู่ถัดเข้าไปด้าน

 การเข้าออกบ้านของเขาผ่านซอยนี้ จึงไม่ได้เป็นปัญหาใด ๆ เลย แม้มันจะกว้างแค่พอให้รถปิ๊กอัพสี่ประตูคัน ที่เขาเพิ่งผ่อนงวดหมดลงหมาด ๆ เข้า-ออกได้พร้อม ๆ กับคน ๆ เดียวที่เดินตัวลีบ เพียงแค่นั้นก็ตาม

 เขาตั้งชื่อซอยส่วนตัวนี้ ว่า “ซอยบรรจบพร” บรรจบ นั่นชื่อเขา พร ชื่อเมียเขา มันเหมาะสำหรับการเข้าออกดีแล้วและลับตาคนดีด้วย

 คนที่อยากมาหาเขา แบบไม่นัดล่วงหน้า มักจะหาบ้านเขาไม่เจอ

 ประเภทเพื่อนร่วมงานขาจรที่มาพร้อมกับกิจการงานจ้อจั้นเอย ญาติมิตรไกลห่างที่หวังจะมายืมเงินเอย คนรู้จักที่จะมาขอให้ทำโน่นนี่ให้แบบไม่คำนึงถึงน้ำจิตน้ำใจบุคคลอื่นเอย ยิ่งเฉพาะพวกเดินขายสินค้าและบริการประเภทจู่โจมที่เขาไม่ชอบใจเอาเสียเลยนั้น ล้วนไม่มีทางได้พบเขาเป็นแน่

 ซอยส่วนตัวนี้ มันลับลวงพรางเสียจริง ๆ

 แต่ตอนนี้ เขาชักจะทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ เพราะซอยที่เขารัก มันได้กลายเป็นอ่างเก็บน้ำไปเสียฉิบ

 มันเริ่มเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่บริษัท ส.เข้มข้น-ผู้รับเหมา เขาเริ่มลงมือทำโครงการอุโมงค์-สะพานทางข้ามสี่แยกดงอู่ผึ้ง ที่อยู่ห่างบ้านเขาไปทางทิศใต้ไม่ถึงห้าร้อยเมตร และสี่แยกวนารมย์ ที่ไกลออกไปทางตะวันออกราวสองกิโลเมตร

 ถนนหลวงแปดเลนใกล้สี่แยก ถูกยกระดับและเทคอนกรีต สูงเกือบเท่ากำแพงบ้านผอ.ออ.เก่า

 ฝนตกจริงจังทุกครั้ง น้ำจากถนนใหญ่ก็ไหลมาออเอ่อกันในซอยบรรจบพร เหมือนจะเชิญชวนให้เขาเอาปลามาปล่อยเลี้ยงให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

 จนล่าสุด ขากลับจากที่ทำงานค่ำ ๆ เขาเลี้ยวรถลงซอยแบบใจไม่ดีเลย รถยกสูงของเขาค่อยเลื้อยลุย ระดับน้ำปริ่มขอบล้อรถยนต์ใหญ่ขนาด 265 วงล้อ 17

 เลี้ยวซ้ายขึ้นเนินตัวบ้าน จอดรถเสร็จ ลงมาเปิดสวิตช์ไฟรั้วบ้าน เดินออกมาดูซอยบรรจบพร

 ระลอกคลื่นจากแรงรถวิ่งผ่าน ยังเหลือทยอยกระทบกำแพงรั้วสองฝั่ง สะท้อนแสงไฟจากรั้วและจากทางหลวงแปดเลน เป็นประกายวาวหม่น… เหมือนแสงกระทบจากน้ำตาที่เอ่อท้นดวงตาของใครสักคน ที่อุกอั่งเหลือใจกับความรันทด ไร้ทางออก ของตน ๆ

 ***

 อยากขายก็ขายเดอ บ้านน่ะ” คำพูดเมียก่อนเสียชีวิตเมื่อเดือนแปดปีก่อน ยังดังก้องในสำนึก 

 “บ่ดอก” เขาตอบตามจริง  เพราะกว่าสิบปีที่เมียที่ป่วยเป็นมะเร็ง คอยเป็นเพื่อนทุกข์ ผลัดกันประคองชีวิตจิตใจกันมา จอบซอมพิจารณาสังขารอยู่เนืองๆ มิขาด

 ประกอบกับชีวิตที่เดินทางมาผ่านเลยปีที่ครึ่งร้อยมาห้าปี มันทำให้ไม่อยากได้อยากดี ไม่อยากมีอยากเป็นอะไร ๆ ทั้งนั้น เป็นความสัตย์จริงที่เขาเห็นเด่นชัดข้างในใจตนมาระยะหนึ่งแล้ว

  ***

 แต่หลังจากภารโรงคนคุ้นเคย ป่นเห็ดแกงเห็ด หาข้าวปลามาสู่กินกันกว่ายี่สิบห้าปี มาให้ข่าวว่ามีบ้านจะขายให้ เป็นบ้านน้องสาวของตนเอง เธอไปอยู่ต่างประเทศหลายปีแล้ว

 บ้านทรงโมเดิร์นหลังเล็กอยู่กลางทุ่งนา ร่มรื่นด้วยพุ่มใบมันปลาทางซ้ายและหว้าใหญ่ทางขวา

 พักหลังมานี้ เหมือนมีมนต์ดลให้เขารู้สึกผูกพันกับบ้านน้อยหลังนี้ มากขึ้น ๆ อย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะขับรถมาทำงานก็มอง ขอบรถกลับบ้านก็มอง...

 แมนอิหลีตี้อาวโส” เขาถามย้ำ

 “ครูสนใจบ่ล่ะ คันสน เข้าไปอยู่ก่อนได้เลย กุญแจอยู่นี่ เอ๊านี่ เอาไป”

  ***

 รถด้ำสี่ล้อสีเทา ๆ ทยอยเทดินถมซอยบรรจบพรให้สูงขึ้น อีกไม่กี่รถก็จะสูงจรดทางหลวงใหญ่แล้ว

 เขายืนอยู่ที่ประตูรั้ว พิจารณาภาพที่เห็น …คอยคิวรถด้ำว่าง กว่าเขาจะยอมขนดินมาถมให้ นี่มันจะเป็นปีแล้ว!

 แสงแดดยามเที่ยงเจิดจ้า เขาหยีตา ตอนแสงฟ้ากับกระจกมองหลังรถด้ำทำมุมกันเป็นแสงวาบ ๆ บาดลูกนัยน์ตา

 พรุ่งนี้เช้า เขานัดลุงภารโรงโส ที่บ้านกกไม้คู่หลังน้อยนั่น และคืนนี้ เขาต้องปรึกษากับรูปเมียในห้องนอน เป็นครั้งสุดท้าย.

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

สุขสวย ๆ | เรื่องสั้นทันเล่า โดย ทางหอม

        ครั้งนี้เขารู้สึกว่า มันพิเศษกว่าเก่าเป็นร้อยเท่าพันทวี

        เขาอาจคิดคำผะหยา บอกเล่าความรู้สึกนี้ได้ แต่คงใช้เวลานานทีเดียว  แต่หากจักย่อลงเหลือเป็นคำหรือวลี เขาคิดว่า "สุขสวย ๆ" น่าจะเหมาะสุดแล้ว

        ตะวันช่วงสายๆ  เวลาจากหน้าจอมือถือบอก  07.27 น. อดีตชาวนาหนุ่มวางมันไว้ตรงม้านั่งในเถียงนาริมหนองสระ เดินลงงานนาแปลงทางทิศเหนือ ที่มีแดนติดคลองหรือห่องเสียว แนวไม้ริมแคมคูฝั่งนั้นดูเขียวครึ้ม

        กิ่งมะม่วงต้นที่ขึ้นอยู่ฝั่งตรงข้าม พาดข้ามมา ยื่นข้ามคลองเลยคูฝั่งเข้ามาในงานนากว่าสองเมตร กกกอเสียว ต้นอะหลางสาว และกิ่งต้นหนามแท่ง ต่างก็พร้อมใจกันสานกิ่งก้านคลุมที่นาแถบริมคูฝั่งคลองนี้

        หลังจัดแจงใช้ผ้าขะม้ามัดหัว ถอดรองเท้าแตะที่เปรอะตมดินนาหมาดฝน ปีนขึ้นต้นอะหลาง ใช้มีดฟันสาม-สี่กิ่งที่ยื่นเข้าที่นา ปีนลงมา ใช้บันไดอะลูมิเนียมขาตั้ง ปีนขึ้นไปตัดก้านผลมะม่วงที่กำลังแก่ บางลูกเริ่มแก้มเหลือง หล่นตุ๊บ ๆ ๆ ๆ บ้างหล่นลงดินนาสีเทาหม่น บ้างก็หล่นลงผืนหญ้าไผ่เขียว  จากนั้นจึงเหวี่ยงมีดตัดกิ่งมะม่วงกิ่งใหญ่นั้น  และกิ่งย่อม ๆ อีกสองกิ่ง

        หนุ่มใหญ่พยายามจับมีดให้มั่น เพราะหากจับหลวม ๆ อาจทำให้ฝ่ามือเกิดพุพอง ถึงขั้นฝ่ามือปริแตกให้เลือดไหลซิบ ๆ หนังลอกออกเป็นวงได้ แม้จะรู้งานดี แต่การร้างมือไปนาน ก็ทำให้ฝ่ามือเขาเกิดแผลอย่างว่าหลายแผล กว่าที่กิ่งมะม่วง และกิ่ง-กกเสียวจะขาดหล่นลงพื้นนาได้ดั่งใจ

        "เด็กหนุ่มชาวนาเก่า มาคือต่างหลายกับ หนุ่มใหญ่วัยเกือบห้าสิบแท้" เขาแอบรำพึงกับเจ้าของ

        เมื่อเก็บ ลาก ยกกิ่งก้านอะลาง มะม่วง และเสียว ที่ตัดลง เรียงพาดตามแนวยาวของคูฝั่งคลองแล้ว ก็มองไปยังกิ่งก้านเสียวกับหนามแท่ง ที่ต้องจัดการอีก แต่มวยร้างเวที ไม่ได้ซ้อมอย่างเขา ต้องขอพักเอาแรงก่อน

        ชาวนาวันหยุดดื่มน้ำในขวดที่เดินกลับไปเอาจากรถเพิ่งหมดงวด ที่จอดไว้โนนเถียงใต้ร่มหว้าหน้าหนองสระ ละสายตาจากพวกลูกดิบ ๆ ที่หล่นกองอยู่ข้าง ๆ ก็เหลือบไปเห็นมะม่วงกำลังสุก ห้อยลงจากกิ่งตรงมุมคันแทนา ถัดจากต้นหนามแท่งไป ลุกขึ้น เดินไปปลิด เดินกลับมานั่งตรงร่มไม้ที่เดิม จัดแจงปอกเปลือก เห็นเนื้อมะม่วงนวลเหลืองน่ากิน กดคมลงเป็นร่องสองร่อง ปาดเป็นเปี่ยงเป็นชิ้นหยิบเข้าปากช้า ๆ  ลิ้มรสชาติหวานอมเปรี้ยวนั้น อย่างกับได้สบตาสาวสักคนที่คึดฮอดกันมานานเป็นสิบปี

        แสงแดดยามสายใกล้เพล ทะลุพุ่มใบลงมาในร่มที่เขานั่งอยู่ พอรำไร เห็นวงแสงต้องลูกมะม่วงดิบ บางวงใหญ่กลับเจาะจงส่องลูกสุกที่มีรอยไหม้และเริ่มเน่า

        สายลมกลางเดือนพฤษภาพัดพลิ้วโชย ไอเย็นของฝนที่หล่นตอนใกล้รุ่งสางยังอ้อยอิ่งอวลหอม เขานั่งกินมะม่วงสด ๆ ยิ้มรับลมอยู่ตรงนั้น...นานเหมือนอยู่บนสวรรค์เป็นพันปี.


✅ ติดตามผลงานเพิ่มเติมที่
https://www.youtube.com/c/BaawThi?sub_confirmation=1
https://www.facebook.com/baawthi/
https://www.blockdit.com/posts/60a4d4ea86ddb60878f8ec22

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2563

กระเป๋าผ้าฝ้ายสีแดงมีซิปพร้อม เรื่องสั้นโดย คีต์ คิมหันต์


🌜อ่านเรื่องสั้นกัน คั่นบทกวี สักหน่อยครับ 🌝

----------------------------------------------------------
กระเป๋าผ้าฝ้ายสีแดงมีซิปพร้อม | คีต์ คิมหันต์
----------------------------------------------------------

กระเป๋าผ้าฝ้ายสีแดงเพิ่งถูกเย็บใส่ซิปมาเรียบร้อย เพิ่นเอามาคืนให้  หลังจากนำกลับไปใส่ซิปและพาออกเดินทางไกลครั้งสุดท้ายเมื่อปลายปีที่แล้ว
อันที่จริง จะเรียกว่าเอามาคืนบ่ได้ เพราะเดิมทีข่อยเองเป็นผู้ได้รับมาจากมือเพิ่น 
“กระเป๋าแดงนี่ เอามาฝากค่ะ” หญิงสาวยื่นให้ ยิ้มหน้าบาน
 “เนื่องในโอกาสหยังนอครับ” ข่อยตกใจปนปลื้มอก
 “วันเกิดค่ะ เห็นชอบสะพายย่าม” เธอพูดเสียงใสแจ๋วราวกระจกวิเศษ 

 

ควรจะเอิ้นว่าถุงผ้าจั่งสิถืก ในนั่นมีแท็ปเล็ตโตหนึ่ง หนังสือแปลเล่มหนึ่ง กวีนิพนธ์
ของสำนักพิมพ์บ้าน ๆ 3 เล่ม ที่เพิ่งรับมาจากโรงพิมพ์ในแบบปริ้นต์ออนดีมานด์ (ปกละ 50 เล่ม) เจ้าโตกำลังเบิ่งทวนและทานความถูกต้อง
บางขณะข่อยกะยิ้มให้กับตัวบทที่ยกชูใจ  การออกแบบเล่มที่ม่วนคีง แต่แล้ว
ลมใต้ฮ่มกากะเลาที่เย็นกาย กะบ่ช่วยให้ใจซำบายได้ เพราะเห็นคำพิมพ์ผิดในกวีนิพนธ์ชุดที่เขากำลังถืออ่าน ‘เอื้อเฟื้อ’ เป็น  ‘เอื้อเฟื่อ’ ‘กวีนิพนธ์’ เป็น ‘กวีนิพนธ์’  แถมยังพบการออกแบบจัดหน้าบทกวีชิ้นหนึ่งชิ้นเดียวในหมวด ภ ที่บ่ได้ขยายชื่อเรื่องเป็นขนาดใหญ่ตามแบบที่วางไว้ แถมชื่อเรื่องก็พิมพ์ตก  จาก ภาพหลอน  เป็น หลอน 
อนุกรมารมณ์ กวีนิพนธ์ของเพื่อนกวีผู้นี่ช่างงดงามนัก มีสำนวนแปลกใหม่เล็ก ๆ 
แต่หลุดมาจากภาพกรอบกรงของกวียุคก่อนและยุคเดียวกัน เป็นเล่มรวมบทกวีที่กลมกลืนกับอารมณ์ยุคสมัย ที่การไหลบ่าของข้อมูลในโลกจริงสู่โลกเสมือนและการย้อนกลับจากโลกเสมือนสู่โลกจริงอย่างบ่มีขอบขั้นตลิ่งกั้นแต่อย่างใด
ข่อยตั้งใจว่า จะส่งเล่มนี้เข้าประกวดประชันขันแข่งกับหมู่กวีเพิ่น ทุกเวที   
แต่บางที  กะจักสิส่งไปเฮ็ดหยัง  หนังสือคือรางวัลของผู้แต่งในตัวอยู่แล้ว  ใช่ไหม? 
บ่แม่นตี้?

      ข่อยพบกวีหนุ่มครั้งแรก คราวไปงานค่ายนักเขียน-อ่าน และพิจารณาวรรณศิลป์ที่โรงเรียนขุขันธ์เมืองเก่าไปทางใต้ของเมืองอุบลจักร้อยซาวกิโล

     “คุณเขียนกวียุนอ” ผมถามขณะนั่งคุยกันตรงสนามหญ้าหน้าอาคาร ขณะที่นักเรียนในค่ายกำลังนั่งฝึกเขียนงานวรรณกรรมกันตามชุดม้าหินอ่อนใต้ร่มไม้
     “ครับ ฝึกเขียน แต่ไม่รู้จะส่งไปไหน อย่างไร”
     …
      แล้วเราก็คุยกัน และเป็นเพื่อนกันตั้งแต่วันนั้นมา
     ในย่ามสีแดง มีกวีนิพนธ์เล่มหนึ่งที่กวีเจ้าของผลงานได้ลงลายเซ็น และข่อยได้เขียน “คำมอบ” จากเอิ๊กใจให้หญิงสาวผุ๊งามค่อง ในวาระธรรมดาๆ ของชีวิต ปีละเทื่อ ก็วันคล้ายวันเกิดของเพิ่นเธอนั่นล่ะ
     กวีนิพนธ์เล่มน้อยนี้นับเป็นผลงานการคัดสรรและจัดรูปเล่มด้วยความตั้งใจสูงยิ่ง อาจ
ใกล้กับความตั้งในการสลักยอดพระธาตุพนมสมัยใหม่ เพราะเป็นการรวมงานบทกวีเล่มแรกในชีวิตของเพื่อนกวีหนุ่ม ต้องดูแลให้เป็นที่พอใจ ซึ่งเมื่อเจ้าตัวเห็นแล้ว ก็ดูเหมือนจะพอใจอย่างมากทีเดียว
      ในฐานะบรรณาธิการ ข่อยจึงพอใจและภูมิใจหลาย
      สายลมพัดใบจานหน้าร้านพลิกพรึบพรับกลับไปมา เหมือนคนโบกมือทัก นกเมืองตัวหนึ่งส่งเสียงร้องจากกิ่งที่ยื่นไปทางน้ำตกจ าลอง ข้อยนั่งจิบกาแฟรอเธอ หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ ถอนหายใจหลายครั้งหลายเทื่อ
      นี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปีที่รู้สึกประหม่า ขาดความมั่นใจ กลัวว่าจะทำอะไรเปิ่นๆจนอาจทำให้มิตรภาพที่ดีวันดีคืนระหว่างข่อยกับเพิ่นต้องมีอันถอยหลังเสื่อมค่าลงอย่างไม่อาจกู้คืนและยากจะให้อภัยตัวเองได้ตลอดชาตินี่
      ยี่สิบปีที่แล้ว ข่อยเคยนั่งรถเมล์ตามหญิงสาวไปเพื่อส่งเธอเข้าหอพักนอกมหาวิทยาลัย แต่พอเธอลง ขาก็แข็งไม่กล้าลงและเดินตามเธอไปได้ ก่อนที่วันต่อมา เราจะไปทานข้าวเที่ยงที่โรงอาหารข้างตึกเรียนภาษาศาสตร์ด้วยกันกับเพื่อนสนิทของเธอ  เป็นโอกาสให้เธอบอกปฏิเสธความรู้สึกแบบคนรักและแต่งตั้งให้ข่อยเป็นอ้ายซายที่น่ารักคนหนึ่งของเธอแทน
จากน้องสาวคนน่าฮักผลักออกมาจากประตูสิเน่หาเป็นสองปีได้ ก็มาสู่คนน่าฮัก
คนใหม่ที่ข่อยติดตามเธอไปถึงหอพักใน เราได้คุยกันหลายครั้งที่ชุดม้าหินอ่อนหน้าหอ  ความรู้สึกของข่อยที่มีต่อสาวในยามนั่นคล้ายๆ ย่ากำลังใช้ไม้แต้มลายผืนเส้นไหมมัดหมี่อันละเมียดละไม ก่อนสินำไปกรอใส่หลอดเครือไส้ตันหรือไม่ก็ก้านต้นหมากลิ้นฟ้าลิ้นไม้ แล้วนำไปไส่ในกระสวยอีกจนเมื่อเอาไปสอดต่ำขัดไขว่กับเครือหูกเป็นผืนแล้วนั่น จึงเผยลายเครือลายก้านลายดอกฮักหอมบนผืนผ้าไหมที่สวยงามมิ่ง ยิ่งกว่าต้นแบบธรรมชาติ แต่ดูเหมือนการรุกไล่เพื่อเติมเต็มความสุนทรีย์ดังกล่าว จะไม่ทำให้ความเป็นพี่น้องร่วมสถาบันกลายเป็นอื่นไปได้  สุดท้าย  ความพยายามก็ต้องยุติลงด้วยความนับถือเสมอพี่ชายคนหนึ่งอีกคำรบ
มาครั้งนี้  สาวเจ้าในฐานะนักอ่านนักเดินทาง ที่พิสมัยความเรียบง่ายและตรงไปตรงมา
จะมาให้คำตอบข่อยแบบไหนกันนะ นกที่ฮ้องอยู่บนกิ่งจานนั้น บอกใบ้คำตอบหรือบ่น้อจิ๊บ ๆ จบ ๆ …”
เรารู้จักกันมา ก็ปาเข้าไปสิบสามปีแล้ว  หากนับรวมตั้งแต่ปีที่ข่อยแอบสนใจ
ฝ่ายเดียว และในอีกสามปีต่อมา ก็ขยับความคุ้นเคยคบหาเธออย่างเป็นทางการ 


วันนั้นมีงานเปิดตัวหนังสือท่องเที่ยวจำปาสักโดยใจฮักจำปาซึ่งเพื่อนสาวของเธอ
เขียน ณ ร้านหนังสือในสวนดอกไม้ ใกล้ฮั้วมหาวิทยาลัยบัวเผื่อนธานีของเฮา เธอเข้าร่วมงานในฐานะมือกล้องประจำตัวนักเขียน ข่อยก็ไปไปในฐานะนักอ่านผู้ใคร่รู้
       หลังจากหนุ่มเจ้าของร้านได้กล่าวนำถึงที่มาที่ไปของหนังสือจบลง ก็ป้อนคำถามให้นักเขียนตอบ เริ่มจากแรงบันดาลใจการบันทึกเส้นทางการท่องเที่ยวของตน ไล่ตั้งแต่ด่านช่องเม็ก เข้าไปเมืองเก่าจำปาสัก  วัดพู ข้ามแม่น้ำของไปพักค้างแรมในเมืองปากเซ  ลัดเลาะกินอาหารฮิมของและสถานที่ต่าง ๆ ในเมือง  ก่อนที่จะไปตามเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติ น้ำตกคอนพะเพ็งที่ต้นไม้แห่งคำทำนายสามกิ่งได้ล้มลงและถูกเคลื่อนย้ายขึ้นบก ตั้งแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ริมแม่น้ำของ นั่งเรือข้ามไปดอนซาด ดอนเดด ชมน้ำตกหลี่ผี ดื่มน้ำมะพร้าวหวานหอม พักที่ดอนซาดคืนหนึ่ง แล้ววกกลับขึ้นไปที่ราบสูงทางตะวันออก ชมน้ำตกตาดผาส้วม ตาดเยือง ตาดฟาน พักที่นั่นคืนหนึ่ง ลัดเลาะชมไร่กาแฟ สวนทุเรียนริมทาง  สุดท้ายก็ลงมานอนที่ดอนโขง  ปั่นจักรยานเล่นที่นั่น  เนื้อหาก็เป็นประมาณนี่ล่ะ
         ขณะที่เจ้าของผลงานกำลังพูดนำเสนอ  ผมก็พลิกดูหนังสือไปด้วย  ภาษาร้อยแก้วสละสลวย มีกวีโวหารแทรกเป็นระยะ ไม่ขาดไม่เกิน แต่ที่น่าสนใจพิเศษกลับเป็นภาพประกอบขาวดำ แปลกนัก เท่าที่เห็นผ่านตามา หนังสือท่องเที่ยวร่วมสมัยนั้น ทั้งหลายเขาจะพิมพ์ภาพประกอบสี่สีกัน ภาพขาวดำก็เห็นจะมีในหนังสือแนวประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจหาภาพสีมาประกอบได้ มุมมองภาพแต่ละภาพแปลกตายิ่งนัก  อย่างภาพหลี่ผี   แทนที่ช่างภาพจะถ่ายให้เห็นการตกตาดของสายน้ำที่ถูกแก่งหินขวางกันเป็นมุมกว้างเพื่อเน้นความยิ่งใหญ่ของแม่น้ำของตอนมหานทีสี่พันดอน กลับมีแค่รูปถ่ายส่วนปาก หลี่ที่ปลาแม่ของตัวหนึ่งกำลังกระโจนว่ายกระเสือกกระสนทวนน้ำออกมาด้วยความหวาดกลัว  มันช่างเชื่อมโยงกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ในลักษณะวิพากษ์  ที่อะไรกันเล่ามีอิทธิพลรุนแรงจนทำให้มนุษย์ลุกขึ้นมาฆ่าแกงยิงแทงฟันกันจนศพเกลื่อนลำน้ำลอยไปติดหลี่จนเน่าเหม็น
       หลังนักเขียนเว่าจบ  พิธีกรเจ้าของร้านผู้ถนัดการปลุกใจด้วยพลังน้ำเสียง การเน้นคำ ดัง เบา  ฟังได้รส  จะถามคำถามเหมือนฮู้ใจข่อยว่า  ฮูปถ่าย เป็นหยังจั่งเป็นขาวดำ นักเขียนมองไปทางเพื่อนผู้เป็นมือกล้องประจำตัวในการเฮ็ดงานเล่มนี้แว้บหนึ่ง ให้คำตอบว่า เท่าที่เห็นฮูปในหนังสือแนวประวัติศาสตร์ที่ฝรั่งเขียนไว้ ในกาลก่อนเกี่ยวกับแผ่นดินโบราณหม่องนี่นั่น  ก็เป็นฮูปแต้มลายเส้นขาวดำเหมิดบ่แม่นตี๊  ฮูปขาวดำมีเสน่ห์นะ  คุณๆผู้ชายกะมักสาวๆ นุ่งซิ่นไหมสีดำย้อมบักเกลือ ใส่เสื้อฝ้ายสีดำคือกัน บ่แม่นบ้อ เธอกวาดสายตามองผู้มาฮ่วมงานราวสามสิบ  ที่นับหัวผู้หญิงได้บ่ครบนิ้วมือ นอกนั้นเป็นผู้ชาย  แล้วเธอกะยิ้มอ่อนหวาน มองคนนี่ทีคนนั่นที
       ข่อยจำบ่ได้ดอกว่า หลังตอบคำถามที่ว่าแล้ว มีผู้ส่อถามนักเขียน หรือวิพากษ์งานเขียนเล่มนั่น จั่งใด๋แหน่ เพราะข่อยหม่ายไปเว้าจากับสาวเจ้า  ผู้เป็นมือกล้องที่นั่งจิ๊บไวน์แดงยุซุ้มดอกส้มมั่งเล็บมือนางผู้เดียว
  

สาวเจ้าเดินเข้าร้านมาตอนใด๋บ่ฮู้ แต่พอลืมตาจากความคิดฝันข่อยกะเห็นเพิ่นนั่งยิ้มยุตรงหน้า มุมโต๊ะของร้านกาแฟในสวนป่าขนาดเล็กริมแม่น้ำมูน ชานเมือง นานแม่นยามใกล้พระตีกลองเพล บ่มีใผ บรรยากาศเย็นสบาย กลิ่นหอมดอกข้าวที่หัวลมหนาวอุ้มมาฝากมาเผื่อ มันเฮ็ดให้คึดฮอดบ้านเก่าเมืองเกิดร่างสร้างโตตน  บ่แพ้แหล่ว
        “มาโดนแล้วบ้อข่อยถามออกไป พยายามทำเสียงให้นิ่งเป็นธรรมชาติ 
จักหน่อยแล้ว”  เธอว่าเห็นหลับเลยบ่ปลุกยกกล้องในมือขึ้น กดฮูปหยังบ่ฮู้  
สองสามที แล้วเล็งกล้องมาทางข่อยขอถ่ายฮูปอ้ายแหน่  เอาแบบขาวดำน้อ
        ข่อยยิ้ม และทำท่าเป็นนายแบบตามสั่ง อย่างว่าง่าย 
บ่ต้องเกร็งดอกท่านบอ กอ  เอาตามที่เป็นอ้ายนี่ละ
วางกล้องลงบนโต๊ะ  แล้วหยิบหนังสืออนุกรมารมณ์ที่ข่อยวางบนย่ามสีแดงไปเปิด
หน้าแรกอ่านเสียงดัง หน้าข่อยเริ่มแดงนิดๆ  ใจหนึ่งว่าอยากห้ามผู้สาว เพราะคันว่าบ่มัวใส่หูฟังแล้ว ในรัศมี  สิบเมตรจากโต๊ะนี้  จั่งใด๋กะได้ยินได้ฟังเสียงอ่าน คำมอบหนังสือเล่มนี้ให้เธอ อ่านจบเพิ่นกะหันมาทางข่อย ปั้นหน้ายาก ขมวดคิ้ว  ถลึงตาหน่วยใหญ่คู่นั่นจนเห็นตาขาวหลายขึ้น หัวใจข่อยเหมือนเทียนก้อนถูกโยนลงใส่หม้อต้มของวัดหนองปลาปากในห้วงยามทำเทียนพรรษา แต่บ่ทันที่ข่อยสิคิดอ่านและสรุปจบความสัมพันธ์จากอากัปกิริยานั่น   ฉับพลัน  ผู้สาวกลับหัวเราะเสียงดังสามระลอก  หัวใจข่อยกวยโหญ่ไกวโอนเอน เพิ่นปิดหนังสือไปแนบอกข้างซ้ายแล้วจับใส่ในย่ามลายแพรตาหม่อง จับกล้องพร้อมกับลุกขึ้นสะพายคล้องคอ เดินอ้อมโต๊ะ ก้มหน้าใสมน ผีสบ-ริมฝีปากสีชมพูระเรื่ออ่อนฮูปเหมือนกลีบดอกจานแนบติดหูข้างซ้ายข่อย กลิ่นคือดอกสะเลเตน้อยโชยเข้าดัง คำน้อยๆ ที่ซื่มกระซิบใส่หูว่า 
ไปย่างเล่นแคมฝั่งมูนกันป๊ะเจ้าของเสียงซืม ก้าวออกจากฮ้าน ไปยืนเล็งกล้องใส่
เฮือขายหมากไม้ในแม่น้ำมูน ฮูปห่าง ไหล่เอิ๊กเอวในเสื้อผ้าฝ้ายขาวคอวี สะโพกอวบกลมกลึงในกระโปรงยีนส์สั้นสีฟ้าอ่อนซีดจางมีจุดเด่นตรงตีนกระโปรงที่เย็บแถบตีนซิ่นไหม ขณะก้มถ่ายดอกไม้นั่น เผยให้เห็นขาโอ้งขาวเนียนสมส่วนเรียวลงไปฮอดขาแข้งที่เกร็งมัดกล้ามแข็งแรงปล่อยให้เท้าหายเข้าไปในรองเท้าผ้าใบ หุ้มส้น สีบานเย็นแบบจีนคือใผน้อ
      ชั่วอึดใจข่อยดีดโตขึ้น  สะพายย่ามแดงคู่ใจ  ตรงไปจ่ายเงินที่เคาว์เตอร์ แล้วเหมือนลอยลงจากฮ้านที่มีบันไดแค่สามขั้น ไปยืนเทียมข้างเธอ ยกยื่นมือซ้ายไปกำมือขวาอุ่น ๆ ของเธอ ออกแฮงแกว่งแขนเบาๆ เป็นจังหวะ หนึ่ง สอง  หนึ่ง สอง  หนึ่ง...

-----
ชวนอ่านฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก บรรณาธิการโดย วิทยากร โสวัตร ตามลิ้งค์ไปได้เลยครับ
https://theisaanrecord.co/2019/11/30/isaan-record-short-story-1/



ที่สุดของรัก

คลิก ฟังเพลงกันครับ ที่สุดของรัก  คือเห็นความงาม เป็นความจริงล้ำค่า ที่สุดของเข้าใจ คือแสงเช้าสาดต้องยอดยางนาต้นใหม่ เป็นความปรารถนาผ่องพริ้...