แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องสั้นทันเล่า แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องสั้นทันเล่า แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

กระจกคำ

เคยคิดไหมว่า คำ เป็นกระจกใสสุด

ที่พูดเช่นนี้ ด้วยว่า มีชายหนุ่มใหญ่อายุราวสี่สิบปลายๆ มักไปยืนมองป้ายโฆษณาอยู่นานสองนาน

ครั้งล่าสุด เขาไปยืนมองป้ายโฆษณาหาคู่ของสาววัยสี่สิบกลางๆ นางหนึ่ง ที่ปิดประกาศด้วยผ้าไวนิลผืนใหญ่ ข้อความที่ขึ้นอยู่ตรงกลางเยื้องไปทางขวา จากใต้ราวนมรูปถ่ายของนางที่เสนอหน้ายิ้มละไม ก่อนเขาผละเดินจากไป เขาโค้งให้ป้ายอย่างคนกำลังทำความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงค่าสักอย่าง

หลายวันต่อมา เขาก็มาทำอย่างเก่าอีก คือยืนมองป้ายอยู่นานสองนาน โค้งคำนับแล้วเดินจากไป คนที่บังเอิญมาพบเห็นก็ไม่เข้าใจว่า เขาทำอย่างนั้นทำไม


วันต่อมา ขณะที่เขากำลังทำความเคารพป้ายเสร็จพอดี หญิงสาวใหญ่คนงามก็ปรี่เข้าไปหา

"โทษนะคะ ฉันไม่รู้ว่า คุณทำแบบนี้ทำไม"
"โทษทีครับ ผมรุ้สึกขอบคุณคำ ๆ หนึ่งในป้าย เอ๊ะ! คุณนี่เอง" เขามองป้าย แล้วหันมาสบตานาง "คุณคือเจ้าของป้ายสินะครับ ยินดีด้วยนะครับ ป่านนี้คุณคงได้เจ้าบ่าวแล้ว"
"ยังเลยค่ะ" เธอพูดเสียงเบาแล้วก้มหน้ามองเท้า "คงไม่มีหวังแล้วล่ะค่ะ"
"อ้าวยังสาว สวย และรวยด้วย ผมนึกว่า..." เขาหยุดพูด เหมือนรู้ว่า ยิ่งเขาขืนพูดอะไรๆ เรื่องนี้ต่อไป อาจกระทบกระเทือนใจเธอยิ่งขึ้น "โทษทีนะครับ ทำไมคุณไม่ลองใช้แอปพลิเคชั่นหาคู่ล่ะครับ" เขาแนะนำ
"ไม่ดอกค่ะ ดิฉันว่า คนจริงใจต้องเริ่มจากการได้อ่าน ได้ขบคิด มิใช่อะไรๆ ก็หาตัวช่วย คนพรรค์นั้นหาง่ายจะตาย แต่ฉันคงไม่ยอมรับมาเป็นพ่อบ้านแน่ๆ"
"ทำไมรึครับ"
"คนขี้เกียจ"
"แล้วคนมาอ่านป้ายแล้วไปหาคุณ คุณก็จะยอมรับง่ายๆ งั้นรึ"
"ก็คงต้องดูใจกันไประยะหนึ่งค่ะ" นางจริงจัง "แล้วคุณล่ะคะ ที่ว่าขอบคุณคำในป้าย คำไหนรึคะ"
เขาแหงนมองป้ายขนาดสูงเท่าตึกสามชั้น กว้างเท่าผนังห้องหกเมตรต่อกันสี่ห้อง  ข้อความตัวใหญพิมพ์ด้วยสีชมพูมีเงาและลวดลายดอกไม้พลิ้วไหวน่าชื่นเชย
-อย่าให้วัยหนุ่มสาว- ตัวขนาดรองลงมาคือบรรทัดที่สองสีแดง -ที่เหลือค้างต้องสูญเปล่า- และ -มารักกับฉัน- ตัวเท่าบรรทัดที่สองแต่เป็นสีขาวขอบเขียว  ส่วนมุมบนขวา มีเบอร์โทรศัพท์ และไอดีไลน์ 
"สูญเปล่า ครับ คำนี้แน่ๆ สูญเปล่า"
นางจ้องหน้าหนุ่มใหญ่อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
"นี่คุณ...ผมทำอะไรให้หรือครับ จึงโกรธ หน้าแดงเหมือนยักษ์ขนาดนี้"
เธอสะบัดหน้าหนี และเดินจากเขาไป

---
ผู้แต่ง : คีต์ คิมหันต์
---

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ทางเลือกใหม่ [เรื่องสั้นทันเล่า โดย ทางหอม]

ในซอยแยกจากสายรอบเมืองที่เป็นถนนหลวงแปดเลน เข้าไปราวร้อยเมตรเศษ… นับจากมุมรั้วบ้านหลังติดถนนใหญ่เข้าไป บ้านหลังที่สาม นั่นล่ะๆ เป็นบ้านของเขา

 สองหลังแรกในรั้วเดียวกันนั้น เป็นบ้านของคนอื่น

 หลังด้านหน้า ที่เป็นบ้านติดทางหลวง ในรั้วเดียวกันนั้น เจ้าของคืออดีตผู้อำนวยการโรงเรียน

 หลังด้านในที่มีแค่รั้วกั้นกับบ้านเขา เจ้าของ ท่านปลูกให้ลูกสาว ที่กำลังใช้ชีวิตเดินตามรอยเท้าพ่อ แบบไม่ทิ้งห่างไปไหนเลย

 ส่วนบ้านตรงข้ามซอยนี้ ที่เป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่โต พื้นที่กว้างขวาง ปลูกต้นไม้ไว้ร่มรื่น นั่นคือบ้านของผู้มีอันจะกิน

 ข่าวว่าเจ้าของบ้านทำกิจการร้านทำป้ายโฆษณา ที่ลูกค้าหลักเป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเขายังไม่เคยรู้จักหน้าค่าตาเลย แม้จะย้ายมาอยู่ที่นี่กว่าสิบปีแล้ว

 ซอยนี้ไม่มีใครจำเป็นต้องมาร่วมใช้แต่อย่างใด เพราะบ้านคนรวย เขามีทางเข้าต่างหาก เป็นซอยส่วนบุคคลที่อยู่ถัดเข้าไปด้าน

 การเข้าออกบ้านของเขาผ่านซอยนี้ จึงไม่ได้เป็นปัญหาใด ๆ เลย แม้มันจะกว้างแค่พอให้รถปิ๊กอัพสี่ประตูคัน ที่เขาเพิ่งผ่อนงวดหมดลงหมาด ๆ เข้า-ออกได้พร้อม ๆ กับคน ๆ เดียวที่เดินตัวลีบ เพียงแค่นั้นก็ตาม

 เขาตั้งชื่อซอยส่วนตัวนี้ ว่า “ซอยบรรจบพร” บรรจบ นั่นชื่อเขา พร ชื่อเมียเขา มันเหมาะสำหรับการเข้าออกดีแล้วและลับตาคนดีด้วย

 คนที่อยากมาหาเขา แบบไม่นัดล่วงหน้า มักจะหาบ้านเขาไม่เจอ

 ประเภทเพื่อนร่วมงานขาจรที่มาพร้อมกับกิจการงานจ้อจั้นเอย ญาติมิตรไกลห่างที่หวังจะมายืมเงินเอย คนรู้จักที่จะมาขอให้ทำโน่นนี่ให้แบบไม่คำนึงถึงน้ำจิตน้ำใจบุคคลอื่นเอย ยิ่งเฉพาะพวกเดินขายสินค้าและบริการประเภทจู่โจมที่เขาไม่ชอบใจเอาเสียเลยนั้น ล้วนไม่มีทางได้พบเขาเป็นแน่

 ซอยส่วนตัวนี้ มันลับลวงพรางเสียจริง ๆ

 แต่ตอนนี้ เขาชักจะทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ เพราะซอยที่เขารัก มันได้กลายเป็นอ่างเก็บน้ำไปเสียฉิบ

 มันเริ่มเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่บริษัท ส.เข้มข้น-ผู้รับเหมา เขาเริ่มลงมือทำโครงการอุโมงค์-สะพานทางข้ามสี่แยกดงอู่ผึ้ง ที่อยู่ห่างบ้านเขาไปทางทิศใต้ไม่ถึงห้าร้อยเมตร และสี่แยกวนารมย์ ที่ไกลออกไปทางตะวันออกราวสองกิโลเมตร

 ถนนหลวงแปดเลนใกล้สี่แยก ถูกยกระดับและเทคอนกรีต สูงเกือบเท่ากำแพงบ้านผอ.ออ.เก่า

 ฝนตกจริงจังทุกครั้ง น้ำจากถนนใหญ่ก็ไหลมาออเอ่อกันในซอยบรรจบพร เหมือนจะเชิญชวนให้เขาเอาปลามาปล่อยเลี้ยงให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

 จนล่าสุด ขากลับจากที่ทำงานค่ำ ๆ เขาเลี้ยวรถลงซอยแบบใจไม่ดีเลย รถยกสูงของเขาค่อยเลื้อยลุย ระดับน้ำปริ่มขอบล้อรถยนต์ใหญ่ขนาด 265 วงล้อ 17

 เลี้ยวซ้ายขึ้นเนินตัวบ้าน จอดรถเสร็จ ลงมาเปิดสวิตช์ไฟรั้วบ้าน เดินออกมาดูซอยบรรจบพร

 ระลอกคลื่นจากแรงรถวิ่งผ่าน ยังเหลือทยอยกระทบกำแพงรั้วสองฝั่ง สะท้อนแสงไฟจากรั้วและจากทางหลวงแปดเลน เป็นประกายวาวหม่น… เหมือนแสงกระทบจากน้ำตาที่เอ่อท้นดวงตาของใครสักคน ที่อุกอั่งเหลือใจกับความรันทด ไร้ทางออก ของตน ๆ

 ***

 อยากขายก็ขายเดอ บ้านน่ะ” คำพูดเมียก่อนเสียชีวิตเมื่อเดือนแปดปีก่อน ยังดังก้องในสำนึก 

 “บ่ดอก” เขาตอบตามจริง  เพราะกว่าสิบปีที่เมียที่ป่วยเป็นมะเร็ง คอยเป็นเพื่อนทุกข์ ผลัดกันประคองชีวิตจิตใจกันมา จอบซอมพิจารณาสังขารอยู่เนืองๆ มิขาด

 ประกอบกับชีวิตที่เดินทางมาผ่านเลยปีที่ครึ่งร้อยมาห้าปี มันทำให้ไม่อยากได้อยากดี ไม่อยากมีอยากเป็นอะไร ๆ ทั้งนั้น เป็นความสัตย์จริงที่เขาเห็นเด่นชัดข้างในใจตนมาระยะหนึ่งแล้ว

  ***

 แต่หลังจากภารโรงคนคุ้นเคย ป่นเห็ดแกงเห็ด หาข้าวปลามาสู่กินกันกว่ายี่สิบห้าปี มาให้ข่าวว่ามีบ้านจะขายให้ เป็นบ้านน้องสาวของตนเอง เธอไปอยู่ต่างประเทศหลายปีแล้ว

 บ้านทรงโมเดิร์นหลังเล็กอยู่กลางทุ่งนา ร่มรื่นด้วยพุ่มใบมันปลาทางซ้ายและหว้าใหญ่ทางขวา

 พักหลังมานี้ เหมือนมีมนต์ดลให้เขารู้สึกผูกพันกับบ้านน้อยหลังนี้ มากขึ้น ๆ อย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะขับรถมาทำงานก็มอง ขอบรถกลับบ้านก็มอง...

 แมนอิหลีตี้อาวโส” เขาถามย้ำ

 “ครูสนใจบ่ล่ะ คันสน เข้าไปอยู่ก่อนได้เลย กุญแจอยู่นี่ เอ๊านี่ เอาไป”

  ***

 รถด้ำสี่ล้อสีเทา ๆ ทยอยเทดินถมซอยบรรจบพรให้สูงขึ้น อีกไม่กี่รถก็จะสูงจรดทางหลวงใหญ่แล้ว

 เขายืนอยู่ที่ประตูรั้ว พิจารณาภาพที่เห็น …คอยคิวรถด้ำว่าง กว่าเขาจะยอมขนดินมาถมให้ นี่มันจะเป็นปีแล้ว!

 แสงแดดยามเที่ยงเจิดจ้า เขาหยีตา ตอนแสงฟ้ากับกระจกมองหลังรถด้ำทำมุมกันเป็นแสงวาบ ๆ บาดลูกนัยน์ตา

 พรุ่งนี้เช้า เขานัดลุงภารโรงโส ที่บ้านกกไม้คู่หลังน้อยนั่น และคืนนี้ เขาต้องปรึกษากับรูปเมียในห้องนอน เป็นครั้งสุดท้าย.

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

สุขสวย ๆ | เรื่องสั้นทันเล่า โดย ทางหอม

        ครั้งนี้เขารู้สึกว่า มันพิเศษกว่าเก่าเป็นร้อยเท่าพันทวี

        เขาอาจคิดคำผะหยา บอกเล่าความรู้สึกนี้ได้ แต่คงใช้เวลานานทีเดียว  แต่หากจักย่อลงเหลือเป็นคำหรือวลี เขาคิดว่า "สุขสวย ๆ" น่าจะเหมาะสุดแล้ว

        ตะวันช่วงสายๆ  เวลาจากหน้าจอมือถือบอก  07.27 น. อดีตชาวนาหนุ่มวางมันไว้ตรงม้านั่งในเถียงนาริมหนองสระ เดินลงงานนาแปลงทางทิศเหนือ ที่มีแดนติดคลองหรือห่องเสียว แนวไม้ริมแคมคูฝั่งนั้นดูเขียวครึ้ม

        กิ่งมะม่วงต้นที่ขึ้นอยู่ฝั่งตรงข้าม พาดข้ามมา ยื่นข้ามคลองเลยคูฝั่งเข้ามาในงานนากว่าสองเมตร กกกอเสียว ต้นอะหลางสาว และกิ่งต้นหนามแท่ง ต่างก็พร้อมใจกันสานกิ่งก้านคลุมที่นาแถบริมคูฝั่งคลองนี้

        หลังจัดแจงใช้ผ้าขะม้ามัดหัว ถอดรองเท้าแตะที่เปรอะตมดินนาหมาดฝน ปีนขึ้นต้นอะหลาง ใช้มีดฟันสาม-สี่กิ่งที่ยื่นเข้าที่นา ปีนลงมา ใช้บันไดอะลูมิเนียมขาตั้ง ปีนขึ้นไปตัดก้านผลมะม่วงที่กำลังแก่ บางลูกเริ่มแก้มเหลือง หล่นตุ๊บ ๆ ๆ ๆ บ้างหล่นลงดินนาสีเทาหม่น บ้างก็หล่นลงผืนหญ้าไผ่เขียว  จากนั้นจึงเหวี่ยงมีดตัดกิ่งมะม่วงกิ่งใหญ่นั้น  และกิ่งย่อม ๆ อีกสองกิ่ง

        หนุ่มใหญ่พยายามจับมีดให้มั่น เพราะหากจับหลวม ๆ อาจทำให้ฝ่ามือเกิดพุพอง ถึงขั้นฝ่ามือปริแตกให้เลือดไหลซิบ ๆ หนังลอกออกเป็นวงได้ แม้จะรู้งานดี แต่การร้างมือไปนาน ก็ทำให้ฝ่ามือเขาเกิดแผลอย่างว่าหลายแผล กว่าที่กิ่งมะม่วง และกิ่ง-กกเสียวจะขาดหล่นลงพื้นนาได้ดั่งใจ

        "เด็กหนุ่มชาวนาเก่า มาคือต่างหลายกับ หนุ่มใหญ่วัยเกือบห้าสิบแท้" เขาแอบรำพึงกับเจ้าของ

        เมื่อเก็บ ลาก ยกกิ่งก้านอะลาง มะม่วง และเสียว ที่ตัดลง เรียงพาดตามแนวยาวของคูฝั่งคลองแล้ว ก็มองไปยังกิ่งก้านเสียวกับหนามแท่ง ที่ต้องจัดการอีก แต่มวยร้างเวที ไม่ได้ซ้อมอย่างเขา ต้องขอพักเอาแรงก่อน

        ชาวนาวันหยุดดื่มน้ำในขวดที่เดินกลับไปเอาจากรถเพิ่งหมดงวด ที่จอดไว้โนนเถียงใต้ร่มหว้าหน้าหนองสระ ละสายตาจากพวกลูกดิบ ๆ ที่หล่นกองอยู่ข้าง ๆ ก็เหลือบไปเห็นมะม่วงกำลังสุก ห้อยลงจากกิ่งตรงมุมคันแทนา ถัดจากต้นหนามแท่งไป ลุกขึ้น เดินไปปลิด เดินกลับมานั่งตรงร่มไม้ที่เดิม จัดแจงปอกเปลือก เห็นเนื้อมะม่วงนวลเหลืองน่ากิน กดคมลงเป็นร่องสองร่อง ปาดเป็นเปี่ยงเป็นชิ้นหยิบเข้าปากช้า ๆ  ลิ้มรสชาติหวานอมเปรี้ยวนั้น อย่างกับได้สบตาสาวสักคนที่คึดฮอดกันมานานเป็นสิบปี

        แสงแดดยามสายใกล้เพล ทะลุพุ่มใบลงมาในร่มที่เขานั่งอยู่ พอรำไร เห็นวงแสงต้องลูกมะม่วงดิบ บางวงใหญ่กลับเจาะจงส่องลูกสุกที่มีรอยไหม้และเริ่มเน่า

        สายลมกลางเดือนพฤษภาพัดพลิ้วโชย ไอเย็นของฝนที่หล่นตอนใกล้รุ่งสางยังอ้อยอิ่งอวลหอม เขานั่งกินมะม่วงสด ๆ ยิ้มรับลมอยู่ตรงนั้น...นานเหมือนอยู่บนสวรรค์เป็นพันปี.


✅ ติดตามผลงานเพิ่มเติมที่
https://www.youtube.com/c/BaawThi?sub_confirmation=1
https://www.facebook.com/baawthi/
https://www.blockdit.com/posts/60a4d4ea86ddb60878f8ec22

ที่สุดของรัก

คลิก ฟังเพลงกันครับ ที่สุดของรัก  คือเห็นความงาม เป็นความจริงล้ำค่า ที่สุดของเข้าใจ คือแสงเช้าสาดต้องยอดยางนาต้นใหม่ เป็นความปรารถนาผ่องพริ้...