• เมื่องานการประพันธ์ไม่ใช่งานที่มาก่อน สำหรับทำแล้วมีเวินตอบแทนมาเลี้ยงชีพได้
มันเป็นแค่งานแห่งความรัก แห่งความปรารถนา เป็นฝันที่อยากให้มันงออกงาม
เป็นความพอใจส่วนตัว มากกว่าจะเป็นความเห็นพ้องและส่งเสริมของคนในครอบครัว
เป็นแค่งานอดิเรก งานรองจากงานที่ต้องไปทำงานเช้าและกลับบ้านตอนเย็น
หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า "งานประจำ"
• การทำงานประจำมาเกิน 25 ปี ทำให้เราได้รู้จักตัวตนของตนได้หลายส่วน
• ส่วนแรกคือ ได้รู้จักขอบเขตความอดทนของตน
โดยเฉพาะช่วงหลังปีที่ 15 ถึงปีที่ 20 เป็นช่วงที่ทรมานใจมาก
เพราะเมื่อรู้งาน รู้ระบบ รู้คน รู้ไส้พุงของเนื้องาน และรู้ว่าตัวเองอยู่จุดใดแล้ว
เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่ตัดสินมัน
คำตัดสินว่ามันไม่ดีไม่งาม หรือเข้าทำนอง น่าจะดีกว่านี้ไหม
มันเข้ามาเป็นข้อมูลในการคิด ประมวลผลว่า
เราจะไปต่อไหม ไปต่อในลักษณะใด ไปต่อนานแค่ไหน
หรือเราจะถอย จะถอน จะเลิกทำ ไปทำอย่างอื่น
คำตอบที่ได้ ก็จะถูกส่งไปสู่ส่วนที่สอง
• ส่วนที่สองคือ ได้รู้จักทบทวนเป้าหมายแห่งชีวิตจริง ๆ ของตนเอง
ว่าตกลง งานประจำที่ทำอยู่ มันไม่ใช่คำตอบแน่ ๆ
งานประจำตอบสนองแค่รายได้สำหรับใช้จ่ายในชีวิต
แต่วันได้กลืนกิน หัก คิดบัญชีเวลาของชีวิตไปเรียบร้อย
แม้จะพยายามจัดการ จัดสรรเวลาแล้วอย่างไร
มันก็ยังแวบไปกัดกินเวลาส่วนตนอยู่ดี ๆ
•เวลาส่วนตนที่ว่า คือ เวลาที่เราจะมีฟรีสำหรับกลับไปดูแลพ่อแม่บ้าง
และเวลาสำหรับการพัฒนางานประพันธ์ที่รัก ที่เป็นเป้าหมายของชีวิต
•หวังไว้ว่า เมื่อเราลงมือจริงจัง เต็มที่เต็มเวลากับงานเขียนงานประพันธ์
เราก็สามารถจะมีผลงานต่อเนื่องออกมาอย่างชวนยินดี
เราสามารถใช้ช่องทางผ่านสื่อออนไลน์ สำหรับเผยแพร่
และมันจะให้ดอกผลเป็นรายได้กลับมาอย่างแน่นอน
ผมเชื่อของผมอย่างนี้ เชื่อว่ามันเป็นไปได้ และจะเป็นไปได้ดีด้วย
•แต่ตอนนี้ ยังลังเลสงสัยอย่างเดียวว่า
เงินรายได้ของตนที่จะได้รับรายเดือนจากการลาออกจากงานประจำนั้น
มันจะพอให้เรามีชีวิตดีพอที่จะมีสมาธิสร้างสรรค์งานประพันธ์ได้จริงหรือ?
ในเมื่อเรามิใช่ตัวคนเดียว เรายังมีครอบครัวที่ต้องดูแล
นับดูแล้วก็หลายชีวิต หลายปากหลายท้องด้วยสิ
•คิด ๆ ดู มาถึงวันนี้ อายุกำลังจะก้าวพ้นปีที่ 49 และกำลังจะล่วงเข้าสู่ปีที่ 50 แล้ว
เราสมควรตัดสินใจหรือยังกับการอยู่ต่อไปในระบบงานประจำ
หรือจะออกไปทำงานเขียนเลี้ยงตัว
• ยังลังเลสงสัยอยู่ละสิ! ใจเจ้าเอย...