บทที่ ๗ หมู่ดวงดาว
“ดาวสวยมากครับอ้าย คืนนี้” ข่อหล่อเปิดเรื่อง
“เหงารึ คิดฮอดบ้านสินะ” ฮอย ฮิมมูนถาม
“ว่าจะไม่คิด”
“ธรรมดา สมัยอ้ายไปต่างที่ก็เป็น”
“ไปไสแหน่อ้าย ไกลบ่”
“ไปวังเวียง เมืองเล็กงามธรรมชาติ อยู่กึ่งกลางระหว่างทางจากเวียงจันทร์ไปหลวงพระบาง อ้ายไปเฮ็ดงานวิจัยเกี่ยวแก่ธรรมชาติท่งท่าในวรรณกรรมลาวหลังสมัยใหม่ ไปอยู่เกือบแปดเดือน ว่าแม่นไปใช้ชีวิตแบบบ้านๆ สมัยเฮายังเป็นเด็กน้อย ใชีชีวิตในธรรมชาติป่าเขา สายน้ำลำธาร และวิถีญาติพี่น้องเก่าแก่ อยู่นั่นแล้วมีความสุข บ่ต้องคิดหยังหลาย แต่ความขัดแย้งมันก็มี อย่าว่าแต่ความขัดแย้งกับผู้อื่น หรือระหว่างแนวความคิดคนเฮา ที่ย่อมแตกต่าง ไอ้ความขัดแย้งในใจนี่ล่ะโตการใหญ่ มันมี มันแย้ง มันต่อสู้กันหลายกว่าความขัดแย้งระหว่างคนกับคนหมู่ใดๆ”
“เป็นจังใด๋นอครับ ผมคือบ่เข้าใจ” ข่อหล่อจ้องตาคนเล่า
“ประมาณว่า ชีวิตที่มีเป้าหมายแต่ต้องแลก กราฟชีวิตขาลงที่เป็นพ่อหม้ายอยู่แล้ว มันกะคือดิ่งลงไปบ่ยอมเงยขึ้น พอคึดฮอดเมียที่ตายไป นี่เฮามุมานะทำงานจนลืมดูแลคนที่ฮักเฮา จนวาระสุดท้ายของคนฮักเฮาถึงได้ลงมือลงใจดูแลกัน แต่นั่นล่ะ มันเหมือนสายเกินไป แต่เฮากะต้องใช้งานตัวเดียวกันนี่ล่ะ รักษาหัวใจที่เศร้าเหงาท้อหม่น จนแทบจะละลายระเหยหายสูญไปกับวันเวลา เออ...น้องเคยอ่าน เรื่องเล่าจากดาวดวงหนึ่ง ของ พิษณุ ศุภ. บ่ บทบรรยายตอนตัวละครพ่อตายลง นั่นแหละประมาณนั่นแหละ”
“เคยอ่านยุครับ แต่...อืม...ผมกะบ่คิดว่าเข้าใจ อยู่ดี”
“เรื่องนั้น เป็นความขัดแย้ง ของคนสองคน จนต้องแบ่งดาวคนละครึ่ง แหม่นบ่ การทำงาน บ่ว่าอยู่ไส ก็มีปัญหา แม้ว่า บ่มีปัญหากับคน ก็อาจจะมีปัญหากับความคิด วิธีการ หรือบ่กะธรรมชาติ แต่ที่สุด เฮาก็ต้องพิจารณา ว่าเฮาจะอยู่ เพื่อหยัง เพื่อความถูกต้อง เป็นธรรม ของใผ ในระดับใด แล้วเฮาอยากได้อิหยังที่สุด เฮาก็ต้องพิจารณา ชั่งน้ำหนัก ถ้าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ควรจะเลือกหรือบ่ มันก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของเฮาเอง ที่ต้องลุกขึ้น ยืนหยัดเพื่อมัน หรือเจ้าว่าใด๋”
บักข่อหล่อฟังแล้ว คึดอ่าน... เหมือนกำลังจะเข้าใจบ้าง แต่จริงๆ แล้ว ความหมายของคำเว่าของอ้ายลาว มันหมายถึงหยังแหน่นอ อีหลีแล้ว คนเฮาต้องเลือกความเป็นธรรมที่ถูกต้อง เป็นคุณเป็นค่าทั้งต่อโตเองและส่วนรวม... อย่างนั่น ใช่ไหม
ดวงจันทร์ค่อยโผล่พ้นทิวไม้และหลังคาบ้านจัดสรร ทอแสงนวลอาบใบหน้าด้านขวาของคนทั้งคู่ที่มองไปยังผืนน้ำในห้วยวังนอง สายลมหนาวปลายเดือนธันวาคมโชยพัด หอมกลิ่นแปลงผักบั่วผักเทียมปนอีตู่และกะแยงของไทบ้าน มาจากที่ไหนสักแห่งไม่ไกล มันทำให้เขาก็อดคิดถึงเพื่อนกะปอมก่าไม่ได้
เอาล่ะเขาควรบอกอ้ายฮอย ฮิมมูน ดีไหมว่า เขาเขียนร่างนวนิยายเยาวชนไว้เรื่องหนึ่ง อยากถามพี่ว่า ควรขัดเกลาแล้วส่งไปวารสารประจำเมืองไหม เห็นมีคอลัมน์นวนิยายสั้น ไม่จำกัดแนว แต่ดูเหมือนอ้ายลาวจะรับรู้ได้ด้วยพลังบางอย่าง เพิ่นจึงพูดขึ้นว่า “คั่นเจ้าสิส่ง ไปวารสาร อ้ายว่า เอามาเฮ็ดเป็นตอนลงเว็บบล็อก แล้วอ่านทำคลิปลงยูทูบ ลงเพจ กันเอง เจ้าว่าสิดีกว่าบ่ เขาว่า เมื่อเกิดมีโฆษณาขึ้น แล้วเราจะมีรายได้ ว่าซั่นนะ”
แล้วคำปรึกษา คำแนะนำ คำถาม คำตอบ การวางแผนทำคอนเทนต์นวนิยายสั้นลงออนไลน์ของทั้งคู่ ก็ไหลเรื่อยคล้ายสายลมเย็นโชยสบาย พาหมอกเหมยลอยเวี่ยเรี่ยเหนือผืนแผ่นน้ำใสของห้วยวังนอง ลอยไป ลอยไป ไกลแสนไกล ราวหมู่นกเสรีเริงร่าโบกบินไปยังหมู่ดวงดาวพราวระยิบเหนือเส้นขอบฟ้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปถึงที่นั้น ณ โมงยามใดของชีวิต
---
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น